วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

เอฟ-5บี ลำแรกของโลก




ประวัติ

F-5B เครื่องแรกของโลก อายุกว่า 40 ปีF-5 B เครื่องนี้หมายเลข 63-8438 เป็น F-5 B เครื่องแรกของโลก บินครั้งแรกเมื่อปี 2507 โดยช่วงสองปีแรกก่อนมอบให้กองทัพอากาศไทย ติดตราสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐฯ จากนั้นในช่วงต้นปี ๒๕๐๙ กองทัพอากาศสหรัฐฯมอบเครื่องบิน F-5 B หมายเลข 63-8438 และ 63-8439 ให้กองทัพอากาศไทย โดยการขนส่งมากับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาที่ท่าเรือคลองเตย จากนั้นจึงลำเลียงทางรถยนต์มาที่กรมช่างอากาศดอนเมือง เพื่อทำการประกอบและตรวจเช็ค ก่อนที่ นักบินอเมริกันจะมาทดสอบทำการบิน จากนั้น ผบ.ทอ. (พล.อ.อ.บุญชู จันทรุเบกษา) ขณะนั้น มาทำการทดสอบบินร่วมกับนักบินอเมริกัน และบรรจุประจำการครั้งแรกที่ฝูงบิน 13 กองบิน 1 ดอนเมือง (ปัจจุบันคือท่าอากาศยานดอนเมือง) จนกระทั่งกองทัพอากาศจัดกำลังใหม่ และยกพื้นที่กองบิน 1 ให้เป็นท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ จึงย้ายกองบิน 1 ไปประจำที่โคราช ในปี 2519 - 20 เรียกชื่อฝูงบินใหม่ว่า ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช จากนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2529 มีคำสั่งย้าย F-5 ทั้งหมดของฝูงบิน 103 ไปอยู่ที่ฝูงบิน 231 กองบิน 23 อุดร (เพื่อฝูง 103 เตรียมรับ F-16) ประจำการอยู่กองบิน 23 จนกระทั่งปี 2553 จึงมีคำสั่งรวม F-5 A/B/E/RF-5 A ของฝูงบิน 231 ทั้งหมดไปรวมกับ F-5 E/F ของฝูงบิน 711 กองบิน 71 และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นกองบิน 7 ฝูงบิน 701 แทน จนกระทั่งปัจจุบัน [1]


[แก้] การใช้งาน

F-5B The Oldest Tiger ฝูงบิน 701 กองบิน 7 สุราษฏ์41 ปีนับจากปี พ.ศ. 2509 (1966) F-5B "The Oldest Tiger" ลำนี้ ได้ฝึกนักบินขับไล่ชั้นยอดให้กับกองทัพอากาศมากมาย หนึ่งในลูกศิษย์ของ The Oldest Tiger ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งคือ พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศคนปัจจุบัน พล.อ.อ. ชลิต ได้รับการฝึกเป็นนักบินขับไล่กับเครื่องบินลำนี้มาโดยตลอด โดยมีชั่วโมงบินกับ F-5 ครบ 1,000 ชม. ในปี 2520 ตลอดชีวิตนักบินของ พล.อ.อ. ชลิต มีชั่วโมงบินกับ F-5 มากกว่า 2,000 ชม. ถือเป็นนักบิน F-5 คนแรกของไทยและเอเชียที่ทำการบินได้มากขนาดนี้

ทั้งนี้ พล.อ.อ. ชลิต จะเกษียณอายุราชการในปีหน้าเช่นกัน

หลังจากรอการทำพิธีปลดประจำการอย่างเป็นทางการ The Oldest Tiger จะถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ดอนเมืองและกองบิน 7 จะทำการทะยอยปลดประจำการ F-5 ในฝูงบิน 701 ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับ JAS-39 Gripen เข้าประจำการ[2]





[แก้] เกี่ยวกับ F-5
F-5A/B ถือได้ว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียงแบบแรกของกองทัพอากาศไทย กองทัพอากาศจัดหา F-5A ลำแรกเข้าประจำการในปี 2509 กำหนดชื่อว่า "บ.ข.๑๘" ส่วน F-5B รุ่นสองที่นั่งซึ่งได้รับเข้าประจำการในปีเดียวกัน กำหนดชื่อว่า "ข.๑๘ ก"

กองทัพอากาศสหรัฐตั้งใจจะผลิต F-5 ให้เป็นเครื่องบินขับไล่ราคาถูก บำรุงรักษาได้ง่าย สำหรับชาติพันธมิตรในโลกเสรีใช้ป้องกันประเทศ F-5A/B Freedom Fighter ขึ้นบินครั้งแรกในวันที่ 30 ก.ค. 2502 ส่วน F-5E/F Tiger II ขึ้นบินครั้งแรกในวันที่ 11 ส.ค. 2515 และปิดสายการผลิตในปี 2530

F-5 มีประจำการในกองทัพอากาศถึง 36 ชาติ และในปัจจุบันยังมี F-5 ประจำการทั่วโลกเกือบ 1,000 ลำ โดยผู้ใช้ F-5 ในปัจจุบันที่จัดหา F-5 เข้าประจำการในช่วงท้าย ๆ และโครงสร้างยังมีอายุการใช้งานเหลืออีกพอสมควร ก็ดำเนินการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสามารถ เช่นโครงการปรับปรุง F-5S/T ของสิงคโปร์, F-5BR ของบราซิล, F-5 LIFTs สเปน,F-5E/F Tiger III ของชิลี, F-5 2000 ของตุรกี, และ F-5T Tigres ของไทย

F-5 ลำสุดท้ายของกองทัพอากาศเกาหลีใต้และบราซิลจะปลดประจำการในปี 2563


วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

แรงลอยตัว ของเรื่อดำ น้ำ

แรงลอยตัว

เรือดำน้ำลอยและจมได้ ก็เพราะแรงลอยตัว ซึ่งเกิดจากน้ำ มีค่าเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่ ตามกฎแรงลอยตัวของท่านอาร์คีมีดีส แรงยกนี้มี่ทิศตรงกันข้ามกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งพยายามดึงเรือให้จมลง เรือดำน้ำสามารถควบคุมขนาดของแรงลอยตัวได้ โดยจะให้ลอยอยู่ในระดับใต้น้ำลึกเท่าไรก็ได้

เรือดำน้ำใช้ถัง บัลลาสต์ ( ballast) ควบคุมการลอยตัว ถ้าต้องการจม ให้บรรจุน้ำจนเต็ม หรือไล่น้ำหรือดูดน้ำออก ถ้าต้องการจะลอย (ดูภาพเคลื่อนไหวด้านล่าง) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการให้เรือดำน้ำลอยอยู่บนผิวน้ำ จะต้องไล่น้ำออกจากถัง บัลลาสต์ และอัดอากาศเข้าไปแทนที่ ทำให้ความหนาแน่นทั้งหมดของเรือดำน้ำ มีค่าน้อยกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นบวก) มันจึงลอยน้ำ แต่ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำจม เราจะอัดน้ำเข้าไปในถังบัลลาสต์ และ ระบายอากาศออกจนความหนาแน่นของเรือดำน้ำมากกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นลบ) มันจะจม อากาศที่ใช้ในการอัดได้มาจากถังบรรจุที่อัดด้วยความดันสูงเก็บไว้อยู่ภายในเรือ ซึ่งอากาศนี้ใช้สำหรับการหายใจด้วย เรือดำน้ำมีปีกทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องบิน เรียกว่า ไฮโดรเพลน ( hydroplanes ) มีไว้สำหรับการเคลื่อนที่ เช่นปักหัวลงทำมุม 45 องศาหรือเบนหัวเรือขึ้นเป็นต้น




เพื่อให้เรือดำน้ำลอยอยู่ในระดับความลึกที่ต้องการ ผู้ควบคุมจะต้องรักษาปริมาตรของอากาศและน้ำในถัง บัลลาสต์ จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือเท่ากับความหนาแน่นของน้ำ (แรงยกเท่ากับแรงลอยตัว)

ขณะที่ขับเคลื่อนเรือไปข้างหน้า ปีกไฮโดรเพลนมีหน้าที่รักษาระดับของเรือดำน้ำให้การเคลื่อนที่ยังอยู่ในแนวระดับเสมอ หรือถ้าเราปรับปีกของไฮโดรเพลนให้ทำมุมกับแนวระดับ จะทำให้เรือเฉิดหัวขึ้น หรือดิ่งลงได้ เรือดำน้ำสามารถเลี้ยวไปมาโดยอาศัยหางเสือที่อยู่ทางด้านหลัง เรือดำน้ำบางรุ่นมีมอเตอร์สามารถหมุนได้รอบ 360 องศา ไว้สำหรับช่วยแรงขับของเครื่องยนตร์

ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำพุ่งขึ้นที่ผิวน้ำ เราจะอัดอากาศจากถังเก็บเข้าไปในถัง บัลลาสต์ จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือน้อยกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นบวก) ขณะที่เรือเคลื่อนที่ ให้เราปรับปีกไฮโดรเพลนทำมุมกับระดับจนเกิดแรงซึ่งมีลักษณะเหมือนกับแรงยกตัวของปีกเครื่องบิน กดท้ายลง และหัวพุ่งขึ้น ทำให้มันพุ่งขึ้นเหนือน้ำ ในกรณีฉุกเฉิน เราสามารถบรรจุอากาศเข้าไปในถังบัลลาสต์อย่างรวดเร็ว ทำให้เรือพุ่งขึ้นอย่างทันทีทันใดได้


U-boat - เรือดำน้ำของเยอรมัน




เรือดำน้ำ เป็นเรือที่ใช้ในสงคราม สร้างจากเหล็กแต่มีความสามารถในการเคลื่อนที่ภายใต้ผิวน้ำ เรือดำน้ำ ถูกนำมาใช้ในการสงครามและการค้นคว้าสำรวจใต้ทะเลลึกในบริเวณที่มนุษย์เราไม่สามารถดำลงไปได้ด้วยการสวมเพียงชุดดำน้ำ ด้วยคุณสมบัติที่พิเศษเหนือกว่ายานพาหนะชนิดอื่นคือ มันสามารถที่จะอยู่ได้ทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำ นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1620 ที่เรือดำน้ำลำแรกถูกสร้างขึ้นมา ขณะนั้นเรือดำน้ำสามารถจุคนได้เพียง 12 คน ดำน้ำได้ลึกเพียง 4.5 เมตร และเคลื่อนที่ใต้น้ำได้เพียง 8 กิโลเมตรก่อนที่จะต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ ปัจจุบันเรือดำน้ำสามารถจุคนได้ถึง 150 คน สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานนับเดือน ด้วยขนาดที่ใหญ่โตจนสามารถจุคนได้มากขนาดนี้ เรือดำน้ำมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ตัวมันดำลงใต้น้ำได้และกลับขึ้นสู่ผิวน้ำได้อีก เรือดำน้ำถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถอยู่ในน้ำลึกได้ ด้วยตัวลำเรือที่ถูกออกแบบให้มีผนังสองชั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือสามารถอยู่ในเรือได้อย่างปกติ แม้จะอยู่ในระดับความลึกมากเพียงใดก็ตาม และสามารถอยู่ได้นานจนกว่าอากาศและอาหารจะไม่เพียงพอ

ปัจจุบันเรือดำน้ำถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เราสร้างเรือดำน้ำขนาดที่เล็กสามารถดำน้ำในระดับที่ลึกมาก เพื่อทำงานเฉพาะกิจบางอย่าง เช่น การสำรวจซากเรือโบราณ, การวางสายเคเบิลใต้น้ำ, การหาร่องรอยของแผ่นดินไหว และการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ซึ่งทำให้มนุษย์เราสามารถจะเข้าถึงโลกใต้ทะเลที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน



Douglas C-54 Skymaster ( Douglas DC-4 ) เครื่องบินลำเลียง






The Douglas DC-4 could carry about 42 passengers. Its military counterpart was the C-54 Skymaster.



In 1960, the Royal Thai Air Force purchased a Douglas C-54 Skymaster from Thai Airways for VIP flight. The airplane was designated Cargo Type 3. An additional one was acquired afterwards.
Like its more famous Douglas forebear, the C-54 was a military derivative of a civilian airliner in this case the DC-4A. Designed specifically to fulfil a specification drawn up by United Air Lines for a long-range pressurised airliner, the aircraft was ordered to the tune of 6l airframes by the US operators, followed by a further buy of 7l for the USAAC - in the event, most of the civilian DC-4As were also requistioned into military service. The first production C-54 made its maiden flight on 26 March 1942, and by the following October 24 were in service with the Air Transport Command's Atlantic Wing. The A-model was introduced early in 1943, this aircraft having a cargo door, stronger floor, cargo boom hoist and larger wing tanks. The design was further modified during the remaining war years to suit different USAAF requirement, some 1242 C-54s of varying marks eventually being built. Included in this number were 183 examples for the US Navy, who opcrated them in the Pacific as R4Ds. Postwar, the C-54/R5D enjoyed a long career with both the USAF and US Navy, the final examples not being retired until the late 1960s. Ex-military aircraft also proved popular with civilian freight and fire bomber operators, and today a number of aircraft are still in employment across the globe. A handful of ex-military 'flyers' have also recently appeared within the waarbird fraternitv in the USA .


วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ประกาศกฎเหล็ก ก.พ. สั่งข้าราชการไร้น้ำยาออกจาก ราชการ




ประกาศกฎเหล็ก ก.พ.สั่ง "ขรก.ไร้น้ำยา" ออกจาก ราชการ-เปิดโอกาสปรับปรุงตัวก่อน อุทธรณ์ใน30 วัน (มติชนออนไลน์)

ประกาศใช้กฎ ก.พ.สั่งให้ข้าราชการไร้ประสิทธิภาพออกจากราชการ ประเมินไม่ผ่าน ให้โอกาสปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าไม่ถึงเป้าหมาย ให้ออกได้ทันที แต่ยังมีสิทธิอุทธรณณืต่อ ก.ค.พ.ภายใน 30 วัน

ผู้สื่อข่าว "มติชนออนไลน์" รายงานเมื่อวันที่ 19 มีนาคมว่า มีการประกาศใช้กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล พ.ศ. 2552 ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมาซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนซึ่งไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลออกจากราชการ โดยจะต้องให้โอกาสข้าราชการที่ไร้ประสิทธิภาพได้รับการพัฒนาปรับปรุงตนเองก่อน ถ้าถึงที่สุดถูกสั่งให้ออกจากราชการแล้ว มีสิทธิ์อุทธรณ์คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ภายใน 30 วัน

สำหรับรายละเอียดของกฎ ก.พ.ดังกล่าวมี ดังนี้

1. การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการนั้น ให้ส่วนราชการพิจารณาจากผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการผู้นั้นเป็นหลัก และให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ. นี้

2.เมื่อผู้บังคับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดตามมาตรา 76 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 แล้วเห็นว่าข้าราชการผู้ใดมีผลการปฏิบัติราชการในระดับที่ต้องให้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงตนเอง ก็ให้แจ้งผู้นั้นทราบเกี่ยวกับผลการประเมิน พร้อมทั้งกำหนดให้ผู้นั้นเข้ารับการพัฒนาปรับปรุงตนเองโดยให้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ ในการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ผู้บังคับบัญชาจัดให้ข้าราชการผู้นั้นทำคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเอง โดยกำหนดเป้าหมายในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการให้ชัดเจน เพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติราชการครั้งต่อไป

การประเมินผลการปฏิบัติราชการ และการพัฒนาปรับปรุงตนเองของข้าราชการดังกล่าวให้มีระยะเวลาไม่เกินสามรอบการประเมิน

ในกรณีที่ผู้ถูกประเมินเห็นว่า การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บังคับบัญชามีความไม่เป็นธรรมอาจทำคำคัดค้านยื่นต่อผู้บังคับบัญชารวมไว้กับผลการประเมินเพื่อเป็นหลักฐานได้

3. เมื่อผู้บังคับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการตามคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเองแล้ว ปรากฏว่า ผู้นั้นไม่ผ่านการประเมินในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการตามคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเอง ให้รายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุ เมื่อได้รับรายงานตามวรรคหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุอาจดำเนินการ ดังนี้

(1) กรณีข้าราชการผู้รับการประเมินประสงค์จะออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการหรือ

(2) สั่งให้ข้าราชการผู้นั้นเข้ารับการพัฒนาปรับปรุงตนเองอีกครั้งหนึ่ง โดยทำคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเองเป็นครั้งที่สอง หรือ

(3) สั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ

เมื่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุมีคำสั่งตาม (1) หรือ (3) แล้วแต่กรณีให้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง ในกรณีที่ อ.ก.พ. กระทรวงเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมและมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุ ปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติ

4.เมื่อ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติเป็นประการใดแล้ว และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมีคำสั่งหรือปฏิบัติตามที่ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติแล้ว ให้แจ้งคำสั่งหรือการปฏิบัติดังกล่าวให้ข้าราชการผู้นั้นทราบ

5. ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการตาม กฎ ก.พ. นี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม (ก.พ.ค.)ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบ หรือวันที่ถือว่าทราบคำสั่งให้ออกจากราชการ

6.ในกรณีที่มีการดำเนินการเพื่อสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล พ.ศ. 2547 ก่อนวันที่กฎ ก.พ. นี้ใช้บังคับ การพิจารณาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการตาม กฎ ก.พ. ฉบับดังกล่าวต่อไป


อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/35018



ส.ส. เดือดหวิดวางมวย ให้ของลับดังลั่นสภา





สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันที่ 19 มี.ค.เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ท่ามกลางคณะรัฐมนตรีที่มานั่งรับฟังการประชุมกันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้นเมื่อนายชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมทั้งทางวิทยุกระสายเสียงและทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีตลอดการประชุม

ทั้งนี้บรรยากาศการอภิปรายเป็นไป อย่างวุ่นวาย เมื่อ ส.ส. ทั้งพรรคฝ่ายค้าน และรัฐบาลต่างพูดคำหยาบ หลอกด่านายกรัฐมนตรี ทำให้มีการลุกขึ้นประท้วงกันวุ่นวาย นายชัย ชิดชอบ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมต้องขอร้องให้สมาชิกสงบสติอารมณ์ โดยให้เหตุผลว่าไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เกือกร่อนเหมือนสภาฯ เกาหลีได้

อย่างไรก็ตาม มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร กลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ลุกขึ้นประท้วงที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน โดยกล่าวว่า ฝ่ายค้านอภิปรายนอกประเด็น ขอให้ตรงไปตรงมา อย่าเสียดสี ออกนอกลู่นอกทางเพราะไม่เกิดประโยชน์

ซึ่งนายรณฤทธิชัยยังพูดไม่จบประโยค นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวสวนทันทีว่านายรณฤทธิชัยลุกขึ้นมาประท้วงหรืออภิปราย หากอยากเป็นรัฐมนตรีให้รอปรับ ครม.รอบหน้าก่อน ทำให้นายรณฤทธิชัยกล่าวตอบโต้เช่นกันว่า "สมัยนี้แหละ" อย่างไรก็ตาม เมื่อนายรณฤทธิชัยกล่าวจบ นายสุรเชษฐ์ก็ตะโกนด่า "_วย" ลั่นห้องประชุม พร้อมชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์การให้ของลับ ทำให้นายรณฤทธิชัยซึ่งยืนอยู่คนละฟากของห้องประชุมไม่พอใจ ลุกขึ้นเดินปรี่เข้าไปหานายสุรเชษฐ์ ทันที ขณะที่นายสุรเชษฐ์ก็เดินปรี่เข้าหานายรณฤทธิชัย เช่นกัน ท่ามกลางเพื่อน ส.ส.แต่ละฝ่ายที่รีบวิ่งเข้าไปจับทั้ง 2 คนให้สงบสติอารมณ์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่าง ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการ พ.ศ... กล่าวถึงเหตุการณ์แจกกล้วยกันกลางที่ประชุมสภาฯ ว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน เหตุการณ์แจกกล้วยกันกลางที่ประชุมสภาฯว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน

"ส.ส.ทั้งคู่ ถือว่า ทำผิดข้อบังคับการประชุมสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องห้ามไม่ให้ส.ส.พูดจาหยาบคายได้ ถ้าไม่เชื่อก็มีสิทธิจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หิ้วตัวออกนอกห้องประชุม แต่ประธานปล่อยปละละเลย ไม่ทำหน้าที่ควบคุมอะไรเลย ปล่อยให้มีการพูดเท็จ เสียดสี ให้ส.ส.พูดถึงส่วนที่ชั่วของอีกฝ่ายออกมา ซึ่งเป็นการยั่วยุกันอยู่ตลอดเวลา จนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันในที่สุด"

นางผุสดี กล่าวว่า หากมีประมวลจริยธรรม ส.ส.ขึ้นมา ก็จะมีกลไกเอาผิดผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไร้มารยาท ได้แต่ระหว่างนี้ อยากให้ ส.ส. และสังคม ออกมาประนามพฤติกรรมของ ส.ส. แบบนี้ ให้มากๆ และหากเพื่อน ส.ส.ร้องเรียนขึ้น ก็สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดได้

ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า เท่าที่ติดตามฟังการอภิปรายแล้ว ต้องยอมรับว่า ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าที่มีการปราศรัยบนเวทีชุมนุมของกลุ่ม นปช. มาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ โดยเนื้อหาหลักๆ มุ่งโจมตีและทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เพราะพรรคเพื่อไทยทราบดีว่า นายกฯ เป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้ ก็เลยพยายามนำเรื่องเล้กเรื่องน้อยเพื่อโยงเข้าหานายกฯ

เขาบอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ฝ่ายค้านไม่ต้องยื่นญัตติเปิดอภิปรายให้เสียเวลาก็ได้ ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินตามงานวัด งานบวช งานแต่ง ยังดูน่าติดตามมากกว่า

"น่าเป็นห่วง ที่จนป่านนี้ รัฐสภาไทยยังไม่ปรับตัว ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองกำลังเดินเข้าสู่วิกฤติการณ์อย่างรอบด้าน แต่เรากลับยิ่งเห็นการทำงานของการเมืองแบบเก่าอย่างน่าสลดใจ"



อ้างอิง

http://hilight.kapook.com/view/35011


วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552