วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

เอฟ-5บี ลำแรกของโลก




ประวัติ

F-5B เครื่องแรกของโลก อายุกว่า 40 ปีF-5 B เครื่องนี้หมายเลข 63-8438 เป็น F-5 B เครื่องแรกของโลก บินครั้งแรกเมื่อปี 2507 โดยช่วงสองปีแรกก่อนมอบให้กองทัพอากาศไทย ติดตราสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐฯ จากนั้นในช่วงต้นปี ๒๕๐๙ กองทัพอากาศสหรัฐฯมอบเครื่องบิน F-5 B หมายเลข 63-8438 และ 63-8439 ให้กองทัพอากาศไทย โดยการขนส่งมากับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาที่ท่าเรือคลองเตย จากนั้นจึงลำเลียงทางรถยนต์มาที่กรมช่างอากาศดอนเมือง เพื่อทำการประกอบและตรวจเช็ค ก่อนที่ นักบินอเมริกันจะมาทดสอบทำการบิน จากนั้น ผบ.ทอ. (พล.อ.อ.บุญชู จันทรุเบกษา) ขณะนั้น มาทำการทดสอบบินร่วมกับนักบินอเมริกัน และบรรจุประจำการครั้งแรกที่ฝูงบิน 13 กองบิน 1 ดอนเมือง (ปัจจุบันคือท่าอากาศยานดอนเมือง) จนกระทั่งกองทัพอากาศจัดกำลังใหม่ และยกพื้นที่กองบิน 1 ให้เป็นท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ จึงย้ายกองบิน 1 ไปประจำที่โคราช ในปี 2519 - 20 เรียกชื่อฝูงบินใหม่ว่า ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช จากนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2529 มีคำสั่งย้าย F-5 ทั้งหมดของฝูงบิน 103 ไปอยู่ที่ฝูงบิน 231 กองบิน 23 อุดร (เพื่อฝูง 103 เตรียมรับ F-16) ประจำการอยู่กองบิน 23 จนกระทั่งปี 2553 จึงมีคำสั่งรวม F-5 A/B/E/RF-5 A ของฝูงบิน 231 ทั้งหมดไปรวมกับ F-5 E/F ของฝูงบิน 711 กองบิน 71 และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นกองบิน 7 ฝูงบิน 701 แทน จนกระทั่งปัจจุบัน [1]


[แก้] การใช้งาน

F-5B The Oldest Tiger ฝูงบิน 701 กองบิน 7 สุราษฏ์41 ปีนับจากปี พ.ศ. 2509 (1966) F-5B "The Oldest Tiger" ลำนี้ ได้ฝึกนักบินขับไล่ชั้นยอดให้กับกองทัพอากาศมากมาย หนึ่งในลูกศิษย์ของ The Oldest Tiger ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งคือ พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศคนปัจจุบัน พล.อ.อ. ชลิต ได้รับการฝึกเป็นนักบินขับไล่กับเครื่องบินลำนี้มาโดยตลอด โดยมีชั่วโมงบินกับ F-5 ครบ 1,000 ชม. ในปี 2520 ตลอดชีวิตนักบินของ พล.อ.อ. ชลิต มีชั่วโมงบินกับ F-5 มากกว่า 2,000 ชม. ถือเป็นนักบิน F-5 คนแรกของไทยและเอเชียที่ทำการบินได้มากขนาดนี้

ทั้งนี้ พล.อ.อ. ชลิต จะเกษียณอายุราชการในปีหน้าเช่นกัน

หลังจากรอการทำพิธีปลดประจำการอย่างเป็นทางการ The Oldest Tiger จะถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ดอนเมืองและกองบิน 7 จะทำการทะยอยปลดประจำการ F-5 ในฝูงบิน 701 ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับ JAS-39 Gripen เข้าประจำการ[2]





[แก้] เกี่ยวกับ F-5
F-5A/B ถือได้ว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียงแบบแรกของกองทัพอากาศไทย กองทัพอากาศจัดหา F-5A ลำแรกเข้าประจำการในปี 2509 กำหนดชื่อว่า "บ.ข.๑๘" ส่วน F-5B รุ่นสองที่นั่งซึ่งได้รับเข้าประจำการในปีเดียวกัน กำหนดชื่อว่า "ข.๑๘ ก"

กองทัพอากาศสหรัฐตั้งใจจะผลิต F-5 ให้เป็นเครื่องบินขับไล่ราคาถูก บำรุงรักษาได้ง่าย สำหรับชาติพันธมิตรในโลกเสรีใช้ป้องกันประเทศ F-5A/B Freedom Fighter ขึ้นบินครั้งแรกในวันที่ 30 ก.ค. 2502 ส่วน F-5E/F Tiger II ขึ้นบินครั้งแรกในวันที่ 11 ส.ค. 2515 และปิดสายการผลิตในปี 2530

F-5 มีประจำการในกองทัพอากาศถึง 36 ชาติ และในปัจจุบันยังมี F-5 ประจำการทั่วโลกเกือบ 1,000 ลำ โดยผู้ใช้ F-5 ในปัจจุบันที่จัดหา F-5 เข้าประจำการในช่วงท้าย ๆ และโครงสร้างยังมีอายุการใช้งานเหลืออีกพอสมควร ก็ดำเนินการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสามารถ เช่นโครงการปรับปรุง F-5S/T ของสิงคโปร์, F-5BR ของบราซิล, F-5 LIFTs สเปน,F-5E/F Tiger III ของชิลี, F-5 2000 ของตุรกี, และ F-5T Tigres ของไทย

F-5 ลำสุดท้ายของกองทัพอากาศเกาหลีใต้และบราซิลจะปลดประจำการในปี 2563


วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

แรงลอยตัว ของเรื่อดำ น้ำ

แรงลอยตัว

เรือดำน้ำลอยและจมได้ ก็เพราะแรงลอยตัว ซึ่งเกิดจากน้ำ มีค่าเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่ ตามกฎแรงลอยตัวของท่านอาร์คีมีดีส แรงยกนี้มี่ทิศตรงกันข้ามกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งพยายามดึงเรือให้จมลง เรือดำน้ำสามารถควบคุมขนาดของแรงลอยตัวได้ โดยจะให้ลอยอยู่ในระดับใต้น้ำลึกเท่าไรก็ได้

เรือดำน้ำใช้ถัง บัลลาสต์ ( ballast) ควบคุมการลอยตัว ถ้าต้องการจม ให้บรรจุน้ำจนเต็ม หรือไล่น้ำหรือดูดน้ำออก ถ้าต้องการจะลอย (ดูภาพเคลื่อนไหวด้านล่าง) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการให้เรือดำน้ำลอยอยู่บนผิวน้ำ จะต้องไล่น้ำออกจากถัง บัลลาสต์ และอัดอากาศเข้าไปแทนที่ ทำให้ความหนาแน่นทั้งหมดของเรือดำน้ำ มีค่าน้อยกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นบวก) มันจึงลอยน้ำ แต่ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำจม เราจะอัดน้ำเข้าไปในถังบัลลาสต์ และ ระบายอากาศออกจนความหนาแน่นของเรือดำน้ำมากกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นลบ) มันจะจม อากาศที่ใช้ในการอัดได้มาจากถังบรรจุที่อัดด้วยความดันสูงเก็บไว้อยู่ภายในเรือ ซึ่งอากาศนี้ใช้สำหรับการหายใจด้วย เรือดำน้ำมีปีกทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องบิน เรียกว่า ไฮโดรเพลน ( hydroplanes ) มีไว้สำหรับการเคลื่อนที่ เช่นปักหัวลงทำมุม 45 องศาหรือเบนหัวเรือขึ้นเป็นต้น




เพื่อให้เรือดำน้ำลอยอยู่ในระดับความลึกที่ต้องการ ผู้ควบคุมจะต้องรักษาปริมาตรของอากาศและน้ำในถัง บัลลาสต์ จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือเท่ากับความหนาแน่นของน้ำ (แรงยกเท่ากับแรงลอยตัว)

ขณะที่ขับเคลื่อนเรือไปข้างหน้า ปีกไฮโดรเพลนมีหน้าที่รักษาระดับของเรือดำน้ำให้การเคลื่อนที่ยังอยู่ในแนวระดับเสมอ หรือถ้าเราปรับปีกของไฮโดรเพลนให้ทำมุมกับแนวระดับ จะทำให้เรือเฉิดหัวขึ้น หรือดิ่งลงได้ เรือดำน้ำสามารถเลี้ยวไปมาโดยอาศัยหางเสือที่อยู่ทางด้านหลัง เรือดำน้ำบางรุ่นมีมอเตอร์สามารถหมุนได้รอบ 360 องศา ไว้สำหรับช่วยแรงขับของเครื่องยนตร์

ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำพุ่งขึ้นที่ผิวน้ำ เราจะอัดอากาศจากถังเก็บเข้าไปในถัง บัลลาสต์ จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือน้อยกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นบวก) ขณะที่เรือเคลื่อนที่ ให้เราปรับปีกไฮโดรเพลนทำมุมกับระดับจนเกิดแรงซึ่งมีลักษณะเหมือนกับแรงยกตัวของปีกเครื่องบิน กดท้ายลง และหัวพุ่งขึ้น ทำให้มันพุ่งขึ้นเหนือน้ำ ในกรณีฉุกเฉิน เราสามารถบรรจุอากาศเข้าไปในถังบัลลาสต์อย่างรวดเร็ว ทำให้เรือพุ่งขึ้นอย่างทันทีทันใดได้


U-boat - เรือดำน้ำของเยอรมัน




เรือดำน้ำ เป็นเรือที่ใช้ในสงคราม สร้างจากเหล็กแต่มีความสามารถในการเคลื่อนที่ภายใต้ผิวน้ำ เรือดำน้ำ ถูกนำมาใช้ในการสงครามและการค้นคว้าสำรวจใต้ทะเลลึกในบริเวณที่มนุษย์เราไม่สามารถดำลงไปได้ด้วยการสวมเพียงชุดดำน้ำ ด้วยคุณสมบัติที่พิเศษเหนือกว่ายานพาหนะชนิดอื่นคือ มันสามารถที่จะอยู่ได้ทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำ นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1620 ที่เรือดำน้ำลำแรกถูกสร้างขึ้นมา ขณะนั้นเรือดำน้ำสามารถจุคนได้เพียง 12 คน ดำน้ำได้ลึกเพียง 4.5 เมตร และเคลื่อนที่ใต้น้ำได้เพียง 8 กิโลเมตรก่อนที่จะต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ ปัจจุบันเรือดำน้ำสามารถจุคนได้ถึง 150 คน สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานนับเดือน ด้วยขนาดที่ใหญ่โตจนสามารถจุคนได้มากขนาดนี้ เรือดำน้ำมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ตัวมันดำลงใต้น้ำได้และกลับขึ้นสู่ผิวน้ำได้อีก เรือดำน้ำถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถอยู่ในน้ำลึกได้ ด้วยตัวลำเรือที่ถูกออกแบบให้มีผนังสองชั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือสามารถอยู่ในเรือได้อย่างปกติ แม้จะอยู่ในระดับความลึกมากเพียงใดก็ตาม และสามารถอยู่ได้นานจนกว่าอากาศและอาหารจะไม่เพียงพอ

ปัจจุบันเรือดำน้ำถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เราสร้างเรือดำน้ำขนาดที่เล็กสามารถดำน้ำในระดับที่ลึกมาก เพื่อทำงานเฉพาะกิจบางอย่าง เช่น การสำรวจซากเรือโบราณ, การวางสายเคเบิลใต้น้ำ, การหาร่องรอยของแผ่นดินไหว และการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ซึ่งทำให้มนุษย์เราสามารถจะเข้าถึงโลกใต้ทะเลที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน



Douglas C-54 Skymaster ( Douglas DC-4 ) เครื่องบินลำเลียง






The Douglas DC-4 could carry about 42 passengers. Its military counterpart was the C-54 Skymaster.



In 1960, the Royal Thai Air Force purchased a Douglas C-54 Skymaster from Thai Airways for VIP flight. The airplane was designated Cargo Type 3. An additional one was acquired afterwards.
Like its more famous Douglas forebear, the C-54 was a military derivative of a civilian airliner in this case the DC-4A. Designed specifically to fulfil a specification drawn up by United Air Lines for a long-range pressurised airliner, the aircraft was ordered to the tune of 6l airframes by the US operators, followed by a further buy of 7l for the USAAC - in the event, most of the civilian DC-4As were also requistioned into military service. The first production C-54 made its maiden flight on 26 March 1942, and by the following October 24 were in service with the Air Transport Command's Atlantic Wing. The A-model was introduced early in 1943, this aircraft having a cargo door, stronger floor, cargo boom hoist and larger wing tanks. The design was further modified during the remaining war years to suit different USAAF requirement, some 1242 C-54s of varying marks eventually being built. Included in this number were 183 examples for the US Navy, who opcrated them in the Pacific as R4Ds. Postwar, the C-54/R5D enjoyed a long career with both the USAF and US Navy, the final examples not being retired until the late 1960s. Ex-military aircraft also proved popular with civilian freight and fire bomber operators, and today a number of aircraft are still in employment across the globe. A handful of ex-military 'flyers' have also recently appeared within the waarbird fraternitv in the USA .


วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ประกาศกฎเหล็ก ก.พ. สั่งข้าราชการไร้น้ำยาออกจาก ราชการ




ประกาศกฎเหล็ก ก.พ.สั่ง "ขรก.ไร้น้ำยา" ออกจาก ราชการ-เปิดโอกาสปรับปรุงตัวก่อน อุทธรณ์ใน30 วัน (มติชนออนไลน์)

ประกาศใช้กฎ ก.พ.สั่งให้ข้าราชการไร้ประสิทธิภาพออกจากราชการ ประเมินไม่ผ่าน ให้โอกาสปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าไม่ถึงเป้าหมาย ให้ออกได้ทันที แต่ยังมีสิทธิอุทธรณณืต่อ ก.ค.พ.ภายใน 30 วัน

ผู้สื่อข่าว "มติชนออนไลน์" รายงานเมื่อวันที่ 19 มีนาคมว่า มีการประกาศใช้กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล พ.ศ. 2552 ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมาซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนซึ่งไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลออกจากราชการ โดยจะต้องให้โอกาสข้าราชการที่ไร้ประสิทธิภาพได้รับการพัฒนาปรับปรุงตนเองก่อน ถ้าถึงที่สุดถูกสั่งให้ออกจากราชการแล้ว มีสิทธิ์อุทธรณ์คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ภายใน 30 วัน

สำหรับรายละเอียดของกฎ ก.พ.ดังกล่าวมี ดังนี้

1. การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการนั้น ให้ส่วนราชการพิจารณาจากผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการผู้นั้นเป็นหลัก และให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ. นี้

2.เมื่อผู้บังคับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดตามมาตรา 76 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 แล้วเห็นว่าข้าราชการผู้ใดมีผลการปฏิบัติราชการในระดับที่ต้องให้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงตนเอง ก็ให้แจ้งผู้นั้นทราบเกี่ยวกับผลการประเมิน พร้อมทั้งกำหนดให้ผู้นั้นเข้ารับการพัฒนาปรับปรุงตนเองโดยให้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ ในการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ผู้บังคับบัญชาจัดให้ข้าราชการผู้นั้นทำคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเอง โดยกำหนดเป้าหมายในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการให้ชัดเจน เพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติราชการครั้งต่อไป

การประเมินผลการปฏิบัติราชการ และการพัฒนาปรับปรุงตนเองของข้าราชการดังกล่าวให้มีระยะเวลาไม่เกินสามรอบการประเมิน

ในกรณีที่ผู้ถูกประเมินเห็นว่า การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บังคับบัญชามีความไม่เป็นธรรมอาจทำคำคัดค้านยื่นต่อผู้บังคับบัญชารวมไว้กับผลการประเมินเพื่อเป็นหลักฐานได้

3. เมื่อผู้บังคับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการตามคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเองแล้ว ปรากฏว่า ผู้นั้นไม่ผ่านการประเมินในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการตามคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเอง ให้รายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุ เมื่อได้รับรายงานตามวรรคหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุอาจดำเนินการ ดังนี้

(1) กรณีข้าราชการผู้รับการประเมินประสงค์จะออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการหรือ

(2) สั่งให้ข้าราชการผู้นั้นเข้ารับการพัฒนาปรับปรุงตนเองอีกครั้งหนึ่ง โดยทำคำมั่นในการพัฒนาปรับปรุงตนเองเป็นครั้งที่สอง หรือ

(3) สั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ

เมื่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุมีคำสั่งตาม (1) หรือ (3) แล้วแต่กรณีให้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง ในกรณีที่ อ.ก.พ. กระทรวงเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมและมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุ ปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติ

4.เมื่อ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติเป็นประการใดแล้ว และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมีคำสั่งหรือปฏิบัติตามที่ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติแล้ว ให้แจ้งคำสั่งหรือการปฏิบัติดังกล่าวให้ข้าราชการผู้นั้นทราบ

5. ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการตาม กฎ ก.พ. นี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม (ก.พ.ค.)ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบ หรือวันที่ถือว่าทราบคำสั่งให้ออกจากราชการ

6.ในกรณีที่มีการดำเนินการเพื่อสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล พ.ศ. 2547 ก่อนวันที่กฎ ก.พ. นี้ใช้บังคับ การพิจารณาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการตาม กฎ ก.พ. ฉบับดังกล่าวต่อไป


อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/35018



ส.ส. เดือดหวิดวางมวย ให้ของลับดังลั่นสภา





สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันที่ 19 มี.ค.เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ท่ามกลางคณะรัฐมนตรีที่มานั่งรับฟังการประชุมกันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้นเมื่อนายชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมทั้งทางวิทยุกระสายเสียงและทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีตลอดการประชุม

ทั้งนี้บรรยากาศการอภิปรายเป็นไป อย่างวุ่นวาย เมื่อ ส.ส. ทั้งพรรคฝ่ายค้าน และรัฐบาลต่างพูดคำหยาบ หลอกด่านายกรัฐมนตรี ทำให้มีการลุกขึ้นประท้วงกันวุ่นวาย นายชัย ชิดชอบ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมต้องขอร้องให้สมาชิกสงบสติอารมณ์ โดยให้เหตุผลว่าไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์เกือกร่อนเหมือนสภาฯ เกาหลีได้

อย่างไรก็ตาม มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร กลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ลุกขึ้นประท้วงที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน โดยกล่าวว่า ฝ่ายค้านอภิปรายนอกประเด็น ขอให้ตรงไปตรงมา อย่าเสียดสี ออกนอกลู่นอกทางเพราะไม่เกิดประโยชน์

ซึ่งนายรณฤทธิชัยยังพูดไม่จบประโยค นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวสวนทันทีว่านายรณฤทธิชัยลุกขึ้นมาประท้วงหรืออภิปราย หากอยากเป็นรัฐมนตรีให้รอปรับ ครม.รอบหน้าก่อน ทำให้นายรณฤทธิชัยกล่าวตอบโต้เช่นกันว่า "สมัยนี้แหละ" อย่างไรก็ตาม เมื่อนายรณฤทธิชัยกล่าวจบ นายสุรเชษฐ์ก็ตะโกนด่า "_วย" ลั่นห้องประชุม พร้อมชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์การให้ของลับ ทำให้นายรณฤทธิชัยซึ่งยืนอยู่คนละฟากของห้องประชุมไม่พอใจ ลุกขึ้นเดินปรี่เข้าไปหานายสุรเชษฐ์ ทันที ขณะที่นายสุรเชษฐ์ก็เดินปรี่เข้าหานายรณฤทธิชัย เช่นกัน ท่ามกลางเพื่อน ส.ส.แต่ละฝ่ายที่รีบวิ่งเข้าไปจับทั้ง 2 คนให้สงบสติอารมณ์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่าง ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการ พ.ศ... กล่าวถึงเหตุการณ์แจกกล้วยกันกลางที่ประชุมสภาฯ ว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน เหตุการณ์แจกกล้วยกันกลางที่ประชุมสภาฯว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน

"ส.ส.ทั้งคู่ ถือว่า ทำผิดข้อบังคับการประชุมสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องห้ามไม่ให้ส.ส.พูดจาหยาบคายได้ ถ้าไม่เชื่อก็มีสิทธิจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หิ้วตัวออกนอกห้องประชุม แต่ประธานปล่อยปละละเลย ไม่ทำหน้าที่ควบคุมอะไรเลย ปล่อยให้มีการพูดเท็จ เสียดสี ให้ส.ส.พูดถึงส่วนที่ชั่วของอีกฝ่ายออกมา ซึ่งเป็นการยั่วยุกันอยู่ตลอดเวลา จนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันในที่สุด"

นางผุสดี กล่าวว่า หากมีประมวลจริยธรรม ส.ส.ขึ้นมา ก็จะมีกลไกเอาผิดผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไร้มารยาท ได้แต่ระหว่างนี้ อยากให้ ส.ส. และสังคม ออกมาประนามพฤติกรรมของ ส.ส. แบบนี้ ให้มากๆ และหากเพื่อน ส.ส.ร้องเรียนขึ้น ก็สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดได้

ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า เท่าที่ติดตามฟังการอภิปรายแล้ว ต้องยอมรับว่า ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าที่มีการปราศรัยบนเวทีชุมนุมของกลุ่ม นปช. มาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ โดยเนื้อหาหลักๆ มุ่งโจมตีและทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เพราะพรรคเพื่อไทยทราบดีว่า นายกฯ เป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้ ก็เลยพยายามนำเรื่องเล้กเรื่องน้อยเพื่อโยงเข้าหานายกฯ

เขาบอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ฝ่ายค้านไม่ต้องยื่นญัตติเปิดอภิปรายให้เสียเวลาก็ได้ ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินตามงานวัด งานบวช งานแต่ง ยังดูน่าติดตามมากกว่า

"น่าเป็นห่วง ที่จนป่านนี้ รัฐสภาไทยยังไม่ปรับตัว ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองกำลังเดินเข้าสู่วิกฤติการณ์อย่างรอบด้าน แต่เรากลับยิ่งเห็นการทำงานของการเมืองแบบเก่าอย่างน่าสลดใจ"



อ้างอิง

http://hilight.kapook.com/view/35011


วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

MV เพลง อยู่เพื่อเธอ รุจ เดอะ สตาร์






canon rock สุดยอดกีต้า hero












www.tlcthai.com

เรื่องตลก ขำขัน คลายเครียด

หญิงชายคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมาจนครบ 40 ปี ในคืนแรกที่พวกเขาแต่งงานกัน สามีบอกกับภรรยาว่า "ฉันจะเก็บกล่องใบนี้ไว้ใต้เตียง เธอต้องสัญญานะว่า จะไม่เปิดกล่องใบนี้ออกมาดู" ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ภรรยาไม่เคยเปิดกล่องใบนี้ออกดูตามสัญญา จนบ่ายวัน ครบรอบ 40 ปีของการแต่งงาน ฝ่ายหญิงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจน ต้องแกะกล่องปริศนาใบนั้นดู ในกล่อง...เธอพบขวดเบียร์ว่างเปล่า 3 ขวด พร้อมกับเศษแบงค์และเศษตังค์ นับรวมกันได้ 34,768.50 บาท เธอเก็บกล่องใบนั้นกลับไปที่เดิม แต่ก็ยิ่งสงสัย หนักเข้าไปใหญ่ว่าทำไมสามีเธอต้องเก็บของพวกนี้ไว้ในกล่องนั้นด้วย คืนวันนั้น เขาและเธอออกไปฉลองครบรอบแต่งงาน ณ ร้านอาหารอันสุดแสนจะ โรแมนติค หลังอิ่มจากอาหารค่ำ ภรรยาวัยชราก็เอ่ยปากสารภาพ "ขอโทษนะพ่อ แม่เปิดกล่องใบนั้นดูแล้ว แม่อดราทนไม่ไหวจริง พ่อบอกแม่ได้มั้ยจ๊ะว่าทำไมพ่อต้องเก็บขวดเปล่าไว้ในกล่องนั้นด้วย?" ชายชราคิดอยู่ครู่นึงพร้อมสารภาพบ้างว่า "หลังจากผ่านช่วงเวลาที่พิเศษสุดมาตลอด 40 ปี พ่อว่าแม่ควรจะรู้ ความจริงวันนี้ซะที... ทุกครั้งที่พ่อทำนอกใจแม่ พ่อจะใส่ขวดเบียร์เปล่าหนึ่งใบลงไปในกล่อง เพื่อเตือนสติพ่อเองว่าจะไม่ทำเรื่องแย่ๆเหล่านั้นอีก" หญิงชราช็อคกับคำตอบแต่ก็ได้ทอดถอนใจเอ่ยตอบไปว่า "แม่ผิดหวังในตัวพ่อมากนะที่พ่อทำผิดแล้วยังปิดบังแม่มาตลอด แต่ก็ยังดีที่ตลอด 40 ปีมานี่ พ่อแอบหนีไปเที่ยวแค่สามครั้ง..." เหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั้งสองน้ำตาไหลรินพร้อมโผเข้ากอดกัน อย่างมีความสุข กอดกันได้ซักพักภรรยาก็เกิดเอะใจขึ้นมา "ทำไมพ่อต้องเก็บเงินเยอะแยะไว้ในกล่องนั่นด้วยล่ะ" "อ๋อ....พอกล่องมันเต็มเมื่อไหร่ พ่อก็เอาขวดไปขายสิจ๊ะ"



http://www.tlcthai.com

LG KC910 Renoire โทรศัพท์ตัวใหม่ LG

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

ในปีที่ความร้อนเพิ่มขึ้น พื่ชจะลดความสามารถในการดูดซึมก๊าซ Carbon ในอากาศ




พืชอาจต้องใช้เวลาถึง สองปี ในการฝื่นตัวจากสภาพอากาศที่ร้อนผิดปกติปีหนึ่ง, จากการค้นคว้าเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ทำให้เราได้เข้าใจถึงจุดนี้ ซึ่งมีความสำคัญมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีควาผิดปกติในสภาพอากาศของโลก เช่น อากาศที่ร้อนผิดปกติ พืชหลากหลายชนิด เช่น หญ้า จะมีความสามารถในการ "หลบ" หรือการหยุดทำงานในช่วงหนึ่ง ซึ่งจะทำให้มันสูญเสียความสามารถในการ รับก๊าซ CO2 ในบรรยากาศ
ในการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ ของ Nevada พวกเขาได้นำหญ้าจาก รัฐ Oklahoma มาในห้องวิจัย โดยการขุด ทุกชิ้นยาว 2.4เมตร กว้าง 1.2เมตร และลึก 1.8เมตร โดยไม่แตะต้องหรือทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในดินหญ้าเหล่านี้ จะถูกนำไปใส่ในห้องวิจัย ที่มีการปรับ แสง อุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ และ ปริมาณก๊าซ CO2 ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศถายนอกใน สี่ปี ข้างหน้า ห้องวิจัยที่ถูกแบ่งเป็น สี่ห้องนี้ สองห้อง จะถูกโปรแกรมให้ดำเนินไปเช่นเดียวกับสภาพอากาศที่เนอยุ่ในโลกภายนอก ดยการโปรแกรมจากสภาพอากาศ เมื่อ เจ็ดปีที่ผ่านมาส่วนในห้องวิจัยอีกสองห้องนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงในสถาพอากาศ คือในปีที่สอง จะมีการเพิ่มอุณหภูมิอย่างชับพลันขึ้น สี่องศาเซลเสียส "เราต้องการจะจำลองปีที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงอย่างผิดปกติ" Jay Arnone, ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Reno ใน Nevada กล่าว "สรุปง่ายๆ, เราเพิ่มอุณหภูมิเข้าไปหนึ่งปีเต็ม, หลังจากนั้น เราก็เอาความร้อนออก และตั้งคำถามง่ายๆว่า 'ผลกระทบจะเกิดขึ้นนานแค่ไหน หลังจากหนึ่งปีของความเปลี่ยนแปลง และ ส่วนใหน ที่ได้รับผลกระทบบ้าง?' "ทีมวิจัยของ Arnone ได้พบว่า พืชที่ได้รับการเพิ่มอุณหภูมิในบรรยากาศนั้น จะลดประสิทธิภาพในการดูดซึม ก๊าซ CO2 ลงถึง สองใน สาม เมื่อเทียบกับ พื่ชที่อยู่ในห้องวิจัย ที่มีอุณหภูมิปกติ ก็ซ CO2 ที่ถูกดูดซึมมาจากการเติมโตของพืช ซึ่งจะเกิดขึ่นเมื่อพื่ชใช้แสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง และปรากฏการทางเคมีเกิดขึ้นในราก ลึกลงไปในดินของมัน เหตุที่นักวิจัยได้เลื่อกที่จะเพิ่มอุณหภูมิขึ้น สี่องศาก็เพราะ จากผลวิจัยจอง UN ที่ออกมาล่าสุด ได้มีการขาดการกันว่า อุณหภูมิเพิ่มขึ่น อย่างน้อย สี่องศา เมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้ แต่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ่นในหนึ่งปีแบบการทดลอง คงจะเป็นไปได้ยาก แต่การทดลองนี้ก็แค่ทำให้เราได้เห็นว่า ในสิ้นศตวรรษนี้ เรากำลังจะเจอกับอะไร ในช่วงเวลา 1873 ถึง 1999 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ปีได้ปีหนึ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างผิดปกติแล้ว และมันอยู่ในระดับระหว่าง สูงผิดปกติ 1องศา ถึง 3.8องศาเลยทีเดียว การค้นพบนี้ สำคัญ เนื่องากพื้นที่ ที่เป็นพื้นหญ้าเป็นปริมาณมากถึง 20% ของพื้นโลก นั้นหมายความว่า ในปีที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ เราจะสูญเสียความสามารถในการลด CO2 ลงได้มากกว่า 13% และถ้าให้เราเข้าใจง่ายๆ ในขนะที่เรากำลังเพิ่มก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ความสามารถในการกำจัดมันของธรรมชาติ ก็กำลังลดลงเรื่องๆเช่นกัน

อ้างอิง
http://www.thaihotzone.com/warming-result/216-hot-year-damages-carbon-uptake.html

http://www.tlcthai.com

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน








โลกเราเคยถูกปกครุมไปด้วย น้ำแข็งและหิมะทั่วทั้งโลก จริงหรือ? และถ้ามันจริงทำไมมันถึงสำคัญต่อพวกเราในวันนี้ เมื่อ 600 ล้านปีที่แล้ว ได้มีปรากฏการ ของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบนโลกครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะ...กังวลไหม คุณควรจะกังวลนะ
ตามหลังแล้ว ไม่ว่าโลกเราจะเย็นและมีน้ำแข็งปกครุมมากแค่ไหน มันจะต้องมีพื้นที่อยู่สักแห่ง ที่ไม่มีน้ำแข็งปรกคลุม และจะอุ่นกว่าพื้นที่อื่น ในช่วงยุคน้ำแข็ง, อุณหภูมิที่ต่ำลง ทำให้น้ำแข็งจากขั้วโลกขยายตัวเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่ว่า, ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน น้ำแข็งก็ไม่สามารถขยายตัวจนกลืนป่าฝน ในเขต




http://www.tlcthai.com

กลไกของสภาวะโลกร้อน

ในสภาวะปกติ โลกเราจะได้รับพลังงานประมาณ 99.95 % จากดวงอาทิตย์ ในรูปแบบของการแผ่รังสี พลังงานที่เหลือมาจากความร้อนใต้ภิพซึ่งหลงเหลือจากการก่อตัวของโลกจากฝุ่นธุลีในอวกาศ และการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในโลก
ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาโลกเราสามารถรักษาสมดุลย์ของพลังงานที่ได้รับอย่างดีเยี่ยม โดยมีการสะท้อนความร้อนและการแผ่รังสีจากโลกจนพลังงานสุทธิที่ได้รับในแต่ละวันเท่ากับศูนย์ ทำให้โลกมีสภาพอากาศเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตหลากหลาย
กลไกหนึ่งที่ทำให้โลกเรารักษาพลังงานความร้อนไว้ได้ คือ "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (greenhouse effect) โดยโลกจะมีชั้นบาง ๆ ของแก๊สกลุ่มหนึ่งเรียกว่า "แก๊สเรือนกระจก" (greenhouse gas) ที่ทำหน้าที่ดักและสะท้อนความร้อนที่โลกแผ่กลับออกไปในอวกาศให้กลับเข้าไปในโลกอีก หากไม่มีแก๊สกลุ่มนี้ โลกจะไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ได้ และจะมีอุณหภูมิแปรปรวนในแต่ละวัน แก๊สกลุ่มนี้จึงทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมโลกที่หนาวเย็น
การณ์กลับกลายเป็นว่าในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกเราได้มีการสะสมแก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากขึ้น เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ขุดขึ้นมาจากใต้ดิน การเพิ่มขึ้นของแก๊สเรือนกระจกทำให้โลกไม่สามารถแผ่ความร้อนออกไปได้อย่างที่เคย ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับโลกเรามีผ้าห่มที่หนาขึ้นนั่นเอง


อ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/lopburi/usa_s/global_warming/sec01p03.html

http://www.tlcthai.com

สาเหตุ โลกร้อน

ภาวะโลกร้อนเป็นภัยพิบัติที่มาถึง โดยที่เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอย่างดี นั่นคือ การที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอซซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง การแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ อุทกภัย ปะการังเปลี่ยนสีและการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ประเทศตามแนวชายฝั่ง ประเทศที่เป็นเกาะ และภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างเอเชียอาคเนย์
จากการทำงานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติ ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีองค์การวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ เฝ้าสังเกตผลกระทบต่างๆ และได้พบหลักฐานใหม่ที่แน่ชัดว่า จากการที่ภาวะโลกร้อนขึ้นในช่วง 50 กว่าปีมานี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4-5.8 องศาเซลเซียส
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่ ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง วาตภัย อุทกภัย พายุฝนฟ้าคะนอง พายุทอร์นาโด แผ่นดินถล่ม และการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน จากภาวะอันตรายเหล่านี้พบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่เสี่ยงกับการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งได้รับผลกระทบมากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่และช่วยเหลือเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า การที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นเหตุให้ปริมาณผลผลิตเพื่อการบริโภคโดยรวมลดลง ซึ่งทำให้จำนวนผู้อดอยากหิวโหยเพิ่มขึ้นอีก 60-350 ล้านคน
ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ มีโครงการพลังงานต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น และการดำเนินงานของโครงการเหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์วิทยาอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล และปริมาณน้ำฝนที่ตกในแต่ละช่วงได้เปลี่ยนแปลงไป การบุกรุกและทำลายป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลและอุณหภูมิของน้ำทะเล ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศน์วิทยาตามแนวชายฝั่ง และจากการที่อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนสีของน้ำทะเล ดังนั้น แนวปะการังต่างๆ จึงได้รับผลกระทบและถูกทำลายเช่นกัน
ประเทศไทยเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีชายฝั่งทะเล ที่มีความยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร และเป็นแหล่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และความไม่แน่นอนของฤดูการที่ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม มีการคาดการณ์ว่า หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีกอย่างน้อย 1 เมตรภายในทศวรรษหน้า หาดทรายและพื้นที่ชายฝั่งในประเทศไทยจะลดน้อยลง สถานที่ตากอากาศชายทะเล รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น พัทยา และ ระยองจะได้รับผลกระทบโดยตรง แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากผลกระทบของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน
ปัญหาด้านสุขภาพ ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้ด้วย เนื่องจากอุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของยุ่งมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่การแพร่ระบาดของไข้มาเลเรียและไข้ส่า นอกจากนี้โรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น อหิวาห์ตกโรค ซึ่งจัดว่าเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วโรคหนึ่งในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้น คนยากจนเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ประกอบกับการให้ความรู้ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่ดี ยังมีไม่เพียงพอ
ปัจจุบันนี้สัญญาณเบื้องต้นของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัด ดังนั้น สมควรหรือไม่ที่จะรอจนกว่าจะค้นพบข้อมูลมากขึ้น หรือ มีความรู้ในการแก้ไขมากขึ้น ซึ่ง ณ เวลานั้นก็อาจสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขได้

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) เรื่อง 1


ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง


อ้างอิง

http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=10597328317390616

http://www.tlcthai.com

น้ำตกไพรวัลย์


ตั้งอยู่ในหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านพูด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ตำบลคลองเฉลิม เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เงียบสงบร่มเย็นด้วยพรรณไม้นานาชนิด บริเวณน้ำตกมีร้านอาหารบริการ การเดินทาง จากตัวเมืองพัทลุง ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ถึงสามแยกกงหราเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4122 ประมาณ 29 กิโลเมตร และจะมีป้ายบอกทางไปน้ำตกอีก 3 กิโลเมตร หรือถ้านักท่องเที่ยวต้องการไปเที่ยวเองสามารถขึ้นรถสองแถวสายน้ำตกไพรวัลย์-พัทลุง ซึ่งคิวรถจะจอดอยู่เยื้องสถานีรถไฟพัทลุงเริ่มตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น.และจากน้ำตกไพรวัลย์มาพัทลุงคันสุดท้ายหมดเวลา 15.00 น. รถออกทุก 15 นาที ทุกวัน
อ้างอิง

วัดหงษ์ปทุมาวาส (วัดมอญ)


ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตำบลบางปรอก ใกล้กับตลาดสดเทศบาล เป็นวัดที่สร้างโดยชาวมอญที่อพยพหนีพม่ามาไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีสัญลักษณ์ของวัดมอญคือ เสาหงส์ ซึ่งบนยอดเสาเป็นตัวหงส์หมายถึง เมืองหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญ ปูชนียวัตถุสำคัญของวัดคือ พระพุทธชินราชจำลองปางมารวิชัย เจดีย์มอญจำลองแบบมาจากเจดีย์จิตตะกองในเมืองหงสาวดี วิหารจำลองได้แบบมาจากกรุงหงสาวดีหลังคาเป็นชั้นๆ มีลวดลายที่สวยงามมาก อุโบสถเป็นอุโบสถสร้างใหม่ตามสถาปัตยกรรมของไทย มองเห็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ได้แต่ไกล ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติและยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย รูปหล่อหลวงปู่เฒ่าที่ชาวบ้านนับถือ และมีศาลาการเปรียญประดับด้วยไม้แกะสลักสวยงาม วัดแห่งนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการอนุรักษ์พันธุ์ปลาหน้าวัด มีพันธุ์ปลาต่างๆ มากมายที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาเช่น ปลาสวาย ปลาเทโพ ว่ายมาชุมนุมกันอยู่เนืองแน่นเพื่อรอรับอาหารจากผู้มาทำบุญไหว้พระที่วัด
อ้างอิง

มัสยิด 300 ปี (มัสยิดวาดีอัลฮูเซ็น หรือ มัสยิดตะโละมาเนาะ)


บ้านตะโละมาเนาะ ตำบลลุโบะสาวอ ห่างจากจังหวัดนราธิวาส เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 42 แล้วแยกที่บ้านบือราแง นายวันฮูเซ็น อัส-ซานาวี ผู้อพยพมาจากบ้านสะนอยานยา จังหวัดปัตตานี เป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2167 เริ่มแรกสร้างหลังคามุงใบลาน ต่อมาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องดินเผา ลักษณะของมัสยิดมีความแตกต่างจากมัสยิดทั่วไป คือเป็นอาคาร 2 หลังติดต่อกัน สร้างด้วยไม้ตะเคียนทั้งหลัง ลักษณะการสร้างจะใช้ไม้สลักแทนตะปู รูปทรงของอาคารเป็นแบบไทยพื้นเมืองประยุกต์เข้ากับศิลปะจีน และมลายูออกมาได้ลงตัว ส่วนเด่นที่สุดของอาคาร คือ เหนือหลังคาจะมีฐานมารองรับจั่วบนหลังคาอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนหออาซานซึ่งมีลักษณะเป็นเก๋งจีน ก็ตั้งอยู่บนหลังคาส่วนหลัง ฝาเรือนใช้ไม้ทั้งแผ่นแล้วเจาะหน้าต่าง ส่วนช่องลมแกะเป็นลวดลาย ใบไม้ ดอกไม้สลับลายจีน ปัจจุบันมัสยิดนี้ยังใช้เป็นสถานประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิม หากต้องการเข้าชมภายในต้องได้รับอนุญาตจากโต๊ะอิหม่ามประจำหมู่บ้าน โดยทั่วไปเข้าชมได้บริเวณภายนอกเท่านั้น นอกจากนั้นหมู่บ้านตะโละมาเนาะในอดีตยังเป็นแหล่งผลิตคัมภีร์อัลกุรอาน ที่เขียนด้วยมือด้านข้างมัสยิดมีสุสานชาวมุสลิม ถ้าเป็นของผู้ชายหินที่ประดับอยู่บนหลุมฝังศพจะมีลักษณะกลม ถ้าเป็นของผู้หญิงจะเป็นหินเพียงซีกเดียว



อ้างอิง

น้ำตกฉัตรวาริน


อยู่ที่ตำบลโต๊ะเด็ง ไม่ไกลจากตัวเมือง ไปตามทางหลวงหมายเลข 4056 ถึงโรงพยาบาลสุไหงปาดีแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนอีก 6 กิโลเมตร ทางเข้าลาดยางตลอด อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีน้ำตลอดทั้งปี สภาพแวดล้อมร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด พันธุ์ไม้เด่นของที่นี่คือ ปาล์มบังสูรย์ ซึ่งเป็นไม้หายากพบในบริเวณป่าลึกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,800 เมตร มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซีย ลักษณะเป็นไม้ลำต้นเตี้ยๆ แต่แตกก้านออกเป็นกอใหญ่ สูงท่วมหัว สามารถสูงได้ถึง 3 เมตร ใบแผ่กว้างทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีเส้นใบเรียงกันเป็นระเบียบสวยงาม ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นปาล์มที่สวยงามที่สุด ซึ่งจะพบในป่าแถบนี้เท่านั้น ชื่อ “ปาล์มบังสูรย์” ตั้งโดยศาสตราจารย์ประชิด วามานนท์ ที่ปรึกษาโครงการส่วนพระองค์ เมื่อครั้งท่านเดินทางมาสำรวจพื้นที่แถบนี้ ได้พบปาล์มชนิดนี้ปลูกอยู่ในหมู่บ้านมุสลิม ศาสตราจารย์ประชิดเห็นว่าใบของปาล์มชนิดนี้มีลักษณะคล้าย “บังสูรย์” เครื่องสูงที่ใช้บังแดดในพิธีแห่จึงนำมาตั้งเป็นชื่อปาล์มดังกล่าว ส่วนภาษาท้องถิ่นเรียกว่า บูเก๊ะอีแป แปลว่าตะขาบภูเขา น่าจะมาจากส่วนช่อดอกที่คล้ายตัวตะขาบ
อ้างอิง

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา


มีเนื้อที่ประมาณ 152 ตารางกิโลเมตร ในอำเภอเกาะลันตา ประกอบด้วยเกาะต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตาใหญ่ เกาะลันตาน้อย เกาะตะเล็งเบ็ง และเกาะใกล้เคียง รวมไปถึงหมู่เกาะห้า หมู่เกาะรอก และเกาะไหง เกาะที่น่าท่องเที่ยวของอุทยานฯ ได้แก่ เกาะลันตาน้อย เป็นเกาะที่เป็นชุมชนของชาวเกาะลันตาในอดีตมาก่อน มีที่ว่าการอำเภอ มีโรงเรียนวิถีชีวิตแบบเก่า ๆ บ้านเรือนโบราณยังมีให้พบเห็นเกาะลันตาใหญ่ มีรูปร่างยาวเรียวจากเหนือมาใต้ ศูนย์กลางธุรกิจของเกาะอยู่ที่บริเวณท่าเรือศาลาด่านซึ่งมีทั้งบริการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ธนาคาร ด้านตะวันตกเรียงรายไปด้วยชายหาดและอ่าวที่สวยงามมากมายได้แก่ หาดคอกวาง หาดโละบารา อ่าวพระแอะ หาดคลองโขง หาดคลองนิน และมีถนนตัดจากท่าเรือตอนเหนือผ่านชายหาดต่าง ๆ ไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาซึ่งอยู่ตอนใต้สุดของเกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะมีสภาพเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยป่าที่สมบูรณ์ ส่วนด้านตะวันออกมีชุมชนเก่าของเกาะลันตาเนื่องจากเคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอมาก่อน ซึ่งย้ายไปอยู่ที่เกาะลันตาน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่บนเกาะลันตานับถือศาสนาอิสลาม และที่บ้านสังกะอู้ยังมีชนพื้นเมืองที่ยังคงยึดถือวัฒนธรรมประเพณี ได้แก่ ประเพณีลอยเรือ ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ มีจุดชมวิว แหลมโตนด ซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคาร จากมุมนี้สามารถมองเห็นโค้งอ่าวกรวดและอ่าวหาดทรายขาวสะอาดมาบรรจบกัน ตอนปลายสุดของแหลมเป็นที่ตั้งของเกาะหม้อ เป็นจุดดำดูปะการังน้ำลึก นอกจากจุดชมวิวแหลมโตนดแล้ว ยังมีจุดชมวิวบนยอดเขาบริเวณตอนกลางเกาะที่มีร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานอาหารพร้อมกับชมทิวทัศน์ของทะเลอันดามันที่มีเกาะต่าง ๆ อยู่ท่ามกลางผืนน้ำสีน้ำเงินบนเกาะลันตาใหญ่มีที่พักเอกชนเปิดให้บริการมากมาย ฤดูท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ควรติดต่อล่วงหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เลขที่ 5 ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ 81150 โทร. 0 7562 9018-9 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 หรือ www.dnp.go.th
การเดินทางไปเกาะลันตาใหญ่ รถยนต์ นักท่องเที่ยวที่นำรถไปเองสามารถนำรถลงเรือได้ที่ท่าเทียบแพขนานยนต์ บ้านหัวหินไปเกาะลันตาน้อยและข้ามแพอีก
ครั้งไปยังเกาะลันตาใหญ่ สามารถข้ามแพได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 18.30 น. ค่าข้ามแพ จากบ้านหัวหิน – เกาะลันตาน้อย เวลาให้บริการ 07.00 - 22.00 น. เวลากลับ 06.00 - 22.00 น. ระยะเวลาการเดินทาง 15 - 20 นาที รถยนต์ คันละ 50 บาท ผู้โดยสารคนละ 3 บาท มอเตอร์ไซค์ คันละ 10 บาท จากเกาะลันตาน้อย – เกาะลันตาใหญ่ เวลาให้บริการ 06.00 - 20.00 น เวลากลับ 06.00 - 22.00 น. ระยะเวลาการเดินทาง 15 - 20 นาที รถยนต์ คันละ 50 บาท รวมคนขับ ผู้โดยสารคนละ 3 บาท มอเตอร์ไซค์ คันละ 10 บาท สามารถข้ามแพได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. – 20.00 น. การเดินทางไปท่าเรือหัวหิน จากอำเภอเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอคลองท่อม (เส้นทางไปจังหวัดตรัง) ถึง
บ้านแยกห้วยน้ำขาว ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวง 4206 ประมาณ 20 กิโลเมตร จนถึงบ้านหัวหิน รถตู้ปรับอากาศ มีรถออกจากอำเภอเมือง วิ่งระหว่างกระบี่-เกาะลันตาใหญ่ รถออกเวลา08.30 - 16.00 น. ออกทุก 1 ชั่วโมง
ค่าโดยสารคนละ 250 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ส่วนขากลับจากเกาะลันตาใหญ่ จะมีรถออกเวลา 08.00 - 16.30 น.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กระบี่ ลันตาทัวร์ อำเภอเมือง โทร. 0 7562 2792 ศาลาด่าน โทร. 0 7568 4121 นอกจากนั้นจากจังหวัดตรัง ก็มีรถตู้ปรับอากาศ ตรัง - เกาะลันตาใหญ่บริการ รถออกเวลา 09.30 - 16.30 น.และ ขากลับรถออกเวลา 08.00 - 15.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสารคนละ 250 บาท
สอบถามข้อมูลได้ที่ บริษัท เค เค ทัวร์ สำนังานอยู่หน้าสถานีรถไฟ โทร 0 7521 1198 0 7522 3664 โทรสาร 0 7521 1441
การเดินทางโดยรถประจำทางจากตรังไปกระบี่
1.รถบัสท้องถิ่นสีแดง ( รถพัดลม ) ออกจากสถานนีขนส่งจังหวัดตรัง เวลา 06.00 - 17.00 น. ราคา คนละ 80 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
2. รถปรับอากาศ ออกจากสถานนีขนส่งจังหวัดตรัง เวลา 06.00 - 17.00 น. ราคาคนละ 113 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง เรือโดยสารในฤดูท่องเที่ยว (เดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม) มีเรือออกจากท่าเรืออำเภอเมือง ไปขึ้นที่ท่าเรือศาลาด่าน บนเกาะลันตาใหญ่ เรือออกเวลา 10.00 น. และ 13.00 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
การเดินทางจากเกาะลันตาไปยังเกาะต่าง ๆ นอกจากนั้นบริษัทเรือเอกชนบนเกาะลันตายังมีเรือวิ่งให้บริการหลายเส้นทาง เกาะลันตา – เกาะพีพี เรือออกเวลา 08.00 น. และ 13.00 น. ค่าโดยสารคนละ 200 บาท เกาะลันตา - กระบี่ เรือออกเวลา 08.00 น. และ 13.00 น. ค่าโดยสารคนละ 200 บาท เกาะลันตา – เกาะพีพี - ภูเก็ต เรือออกเวลา 09.00 น. และ 04.30 น. ค่าโดยสารคนละ 250 บาท เกาะลันตา – เกาะพีพี - กระบี่ เรือออกเวลา 09.00 น. และ 13.30 น. รวมทั้งมีเรือบริการวิ่งระหว่าง เกาะลันตา – เกาะจำ – กระบี่ และเรือบริการทุกวันจากเกาะลันตาใหญ่ไปเกาะไหง เกาะรอก และเกาะ
กระดาน สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ บริษัท รอยัล เฟิร์น จำกัด โทร. 0 7568 4163, 0 1719 4811 เกาะต่าง ๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
เกาะตะละเบ็ง อยู่ระหว่างท่าเรือคลองม่วง-เกาะลันตา เป็นเกาะที่มีลักษณะเป็นหินปูน คล้ายเกาะพีพีเล มีชายหาดเล็กๆ และโพรงถ้ำซึ่งจะโผล่ให้เห็นได้เฉพาะเวลาน้ำลง มีนกนางแอ่นอาศัยอยู่บนเกาะด้วย ในกลุ่มนี้จะมีเกาะผีซึ่งอยู่ไปทาง
ทิศเหนือ และยังเป็นที่สามารถพายเรือแคนูได้ เกาะรอกใน เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ย่อยของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เป็นเกาะที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ด้านทิศตะวันออกมีหาดทราย และแนวปะการังเป็นกลุ่มๆ ตามโขดหิน ด้านทิศเหนือของเกาะมีแหลมธงและอ่าวศาลเจ้า ผืนทรายที่เกาะรอกในละเอียดขาวเนียน น้ำทะเลใสเป็นสีเขียวจนมองเห็นปลาหลากสีสัน เป็นความบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่ยังไม่มีใครเดินทางมาสัมผัสมากนัก บน
เกาะยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติให้ได้เดินออกกำลังกายดูพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ได้อีกด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะพักค้างแรม บนเกาะ
มีที่สำหรับกางเต็นท์ สนใจสอบถามข้อมูลได้จาก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา โทร. 0 7562 9018 - 9
เกาะรอกนอก ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้ มีหาดทรายขาวละเอียด และแนวปะการังน้ำตื้น ด้านท้ายเกาะมีหาดทะลุและอ่าวม่านไทร การเดินทางไปเกาะรอก นิยมเช่าเรือจากท่าเรือปากเมง ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือใช้บริการนำเที่ยวด้วยเรือเร็วจากเกาะลันตา สามารถติดต่อได้จากบริษัททัวร์หรือสถานที่พักบนเกาะลันตาใหญ่ หมายเหตุ: ไม่แนะนำให้เช่าเรือหางยาวเดินทางไปเกาะรอกเนื่องจากระยะทางไกล อาจไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะในวันที่สภาพอากาศไม่ดี เกาะไหง ทางทิศตะวันออกของเกาะประกอบด้วยหาดทรายยาว และมีปะการังด้านหน้าหาด นับเป็นแหล่งดูปะการังน้ำตื้นที่
สมบูรณ์แห่งหนึ่ง การเดินทาง สามารถเช่าเรือจากท่าเรือปากเมง จังหวัดตรังได้ หินแดง เป็นหินโสโครก อยู่ฝั่งด้านนอกของทะเลอันดามัน มีปะการังชนิดต่าง ๆ ที่สวยงามเหมาะสำหรับการดำน้ำ เกาะห้า (ตุกนลิมา) เป็นกลุ่มเกาะ 5 เกาะ เกาะห้าใหญ่มีรูปร่างคล้ายใบเรือ และเป็นจุดดำดูปะการังน้ำตื้นค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาทหมายเหตุ - ตามประกาศวันที่ 4 มิถุนายน 2551 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ บริเวณเกาะม้า เกาะไหง เกาะรอก กองหินแดง-กองหินม่วง และเกาะห้า (ตุกนลิมา) ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม ของทุกปี
อ้างอิง

อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี


อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ตั้งอยู่ที่อ.อ่าวลึก เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชีงนิเวศที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง มีพื้นที่ 121 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยภูเขาหินปูน ป่าดิบ ป่าชายเลน และเกาะต่าง ๆ เนื่องจากอุทยานฯ มีพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าพรุ ป่าชายหาด ป่าชายเลน รวมถึงสังคมพืชน้ำใต้ท้องทะเล ซึ่งเหมาะกับผุ้สนใจท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้แก่ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางที่เดินภายในอุทยานฯ ระยะทาง 1 กิโลเมตร และ เส้นทางเดินจากอุทยานฯ ไปป่าชายเลน ระยะทาง 3-4 กิโลเมตร หรือเที่ยวชมน้ำตกธารโบกขรณี นั่งเรือเที่ยวชมธรรมชาติป่าชายเลน ถ้ำลอด และชมภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ 2,000 – 3,000 ปี ที่ถ้ำผีหัวโต และเกาะห้อง นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเล่นน้ำ ดำน้ำตื้น พายเรือแคนู โดยการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี โทร 0-7568-1071, 0-7568-2058 หรือ www.dnp.go.th สถานที่น่าสนใจอื่น ๆ ภายในอุทยานฯ มีดังนี้ ธารโบกขรณี อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ เดิมชื่อ ธารอโศก เพราะมีต้นอโศกขึ้นอยู่ริมธาร สภาพทั่วไปเป็นธารน้ำธรรมชาติไหลลงมายังแอ่งน้ำน้อยใหญ่ซึ่งอยู่ต่างระดับกัน รายรอบด้วยป่าไม้ร่มรื่น ด้านเหนือของธารโบกขรณี มีมณฑปพระพุทธบาทจำลองที่แกะสลักจากไม้ ประดิษฐานอยู่ใกล้กับศาลาบูชาเจ้าพ่อโต๊ะยวน-โต๊ะช่อง ถ้ำลอดและ ถ้ำผีหัวโต อยู่ห่างจากอุทยานฯ ประมาณ 6 กิโลเมตร เดินทางไปทางอำเภออ่าวลึกตามถนนอ่าวลึก-แหลมสัก ประมาณ 2 กิโลเมตร แยกขวาไปยังท่าเรือบ่อท่อ แล้วลงเรือหางยาวรับจ้างไปตามลำคลองท่าปรัง ผ่านป่าชายเลนไปประมาณ 15 นาที ถ้ำลอด เป็นอุโมงค์ใต้เขาหินปูน บนเพดานถ้ำมีหินงอกและหินย้อยรูปร่างต่าง ๆ กัน ส่วน ถ้ำผีหัวโตหรือถ้ำหัวกะโหลก อยู่ห่างจากถ้ำลอดประมาณ 500 เมตร แต่เดิมภายในถ้ำเคยมีหัวกะโหลกมนุษย์ มีขนาดโตกว่าปกติจึงมีชื่อว่า “ถ้ำผีหัวโต” และบนผนังถ้ำยังปรากฎภาพเขียนสีก่อนสมัยประวัติศาสตร์จำนวนมาก อาทิ รูปคน รูปสัตว์ บนพื้นถ้ำมีเปลือกหอยทับถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังสามารถพายเรือแคนูชมทิวทัศน์ป่าชายเลนที่สงบร่มรื่นได้ ค่าเช่าเรือแคนู 1,200 บาท/คน รวมอาหารกลางวัน โดยสามารถเช่าเรือได้จากบริเวณท่าเรือบ่อท่อ ถ้ำชาวเล อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของแหลมสัก ในเวิ้งอ่าวที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสวยงามของเกาะแก่งและภูผา ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยและภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นรูปคน รูปสัตว์ และรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ หลายภาพด้วยกัน สันนิษฐานว่าจะมีอายุอยู่ในช่วงหลังภาพเขียนที่ถ้ำผีหัวโต บริเวณถ้ำชาวเลสามารถพายเรือแคนูได้ สำหรับการไปเที่ยวชมสามารถโดยสารเรือประจำทางหรือเรือเช่าจากท่าเรือบ้านแหลมสัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาที เกาะกาโรส อยู่ทางด้านตะวันออกของปลายแหลมสัก เป็นบริเวณที่สามารถพายเรือแคนูได้ เกาะแดง มีหาดทรายสวยงามยาว 25 เมตร มีถ้ำลอดกว้าง 70 เมตร สูง 20 เมตร เป็นบริเวณที่ดำน้ำดูปะการังได้ หมู่เกาะห้อง เป็นหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ อาทิ เกาะเหลาหรือเกาะซากา เกาะเหลาเหรียม เกาะปากกะ เกาะเหลาลาดิง เป็นต้น โดยมีเกาะห้องหรือเกาะเหลาปิเละ เป็นเกาะทางตอนใต้ที่ใหญ่ที่สุด ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาหินปูน น้ำทะเลใส หาดทรายขาว มีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเหมาะแก่การดำน้ำ ตกปลา บนเกาะห้อง มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 400 เมตร รอบ ๆ เกาะห้องสามารถพายเรือแคนูได้ บนเกาะมีที่สำหรับกางเต็นท์ ค่าธรรมเนียมกางเต็นท์พักแรมบนเกาะคนละ 20 บาท โดยต้องนำเต็นท์มาเอง นักท่องเที่ยวที่จะขึ้นเกาะห้องจะต้องเสียค่าเข้าชมอุทยานฯ คนไทย ผูใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท การไปเที่ยวชมสามารถเช่าเรือหางยาวจากอ่าวนาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง การเดินทาง อุทยานฯ อยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ 46 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ธารโบกขรณี ตำบลอ่าวลึกใต้ ห่างจากสี่แยกตลาดอ่าวลึก มาตามถนนอ่าวลึก-แหลมสัก ประมาณ 1 กิโลเมตร หรือจากอำเภอเมือง สามารถนั่งรถสองแถวกระบี่-อ่าวลึกเหนือ-ใต้ ลงที่หน้าอุทยานฯ ได้ เกาะห้อง อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ประจำปี 2551 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติภาคใต้ดีเด่น
อ้างอิง

อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน และอุทยานค่ายบางระจัน


อยู่ห่างจากตัวเมือง 15 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3032 มีพื้นที่ประมาณ 115 ไร่ เป็นสวนรุกขชาติพักผ่อนหย่อนใจ จะเห็นอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อประติมากรรมของหัวหน้าชาวค่ายบางระจันทั้ง 11 คน สร้างโดยกรมศิลปากรปรากฏสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ในสวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเปิดอนุสาวรีย์นี้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2519 ค่ายบางระจันมีความสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ ผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ความกล้าหาญและเสียสละของวีรชนไทยที่เกิดขึ้น เมื่อเดือน 3 ปีระกา พ.ศ. 2308 ในครั้งนั้นชาวบ้านบางระจันได้รวมพลังกันต่อสู้กับกองทัพพม่าซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล โดยพม่าต้องยกทัพเข้าตีหมู่บ้านนี้ถึง 8 ครั้ง ใช้เวลา 5 เดือน จึงเอาชนะได้เมื่อวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 นับเป็นอนุสาวรีย์ที่มีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง ค่ายบางระจันในปัจจุบันได้สร้างจำลองโดยอาศัยรูปแบบค่ายในสมัยโบราณ และภายในบริเวณยังมี อาคารศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจัน จัดห้องนิทรรศการโดยแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ ห้องแรก แสดงเรื่องค่ายบางระจัน เครื่องใช้โบราณ แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย หนังใหญ่ ห้องที่สอง จัดแสดงมรดกเมืองสิงห์บุรี ห้องที่สาม แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองสิงห์บุรีและของดีเมืองสิงห์บุรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 3659 7126
การเดินทาง โดยรถประจำทาง สามารถขึ้นรถที่ บขส. ในอำเภอเมืองสิงห์บุรี สายสุพรรณบุรี-สิงห์บุรี มาลงที่อนุสาวรีย์วีรชนฯ



อ้างอิง

http://thai.tourismthailand.org/attraction/maehongson-17-667-1.html

http://www.tlcthai.com


เกาะพยาม


เกาะพยาม ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะพยาม ห่างจากปากน้ำระนองประมาณ 33 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือ 1-2 ชั่วโมง เกาะพยามเป็นแหล่งปลูกมะม่วงหิมพานต์ หรือกาหยู ที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัด บนเกาะมีพื้นที่ประมาณ 35 ตารางกิโลเมตร มีป่าที่สมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือกที่พบเห็นได้ง่าย มีชายหาดที่สวยงามขาวสะอาดหลายแห่ง ได้แก่ อ่าวใหญ่ และอ่าวเขาควาย ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ และเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทหลายแห่ง ส่วนอ่าวแม่ม่ายซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นท่าเทียบเรือ มีร้านค้าต่าง ๆ และเกสท์เฮ้าส์ มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่า และมีเรือเช่าเที่ยวรอบเกาะ ไปดำน้ำเกาะขามซึ่งอยุ่ใกล้กัน
การเดินทาง จากท่าเรือไปเกาะพยาม ตำบลปากน้ำ ใกล้กับสะพานปลา มีบริการเรือโดยสารขนาด 60 คน ไปยังเกาะพยามวันละ 2 เที่ยว เที่ยวเช้าเวลาประมาณ 9.00 น. ส่วนเที่ยวบ่ายเรือออกเวลา 14.00 น. ค่าเรือโดยสารคนละ 150 บาท เที่ยวกลับเรือออกจากท่าเรืออ่าวแม่ม่ายบนเกาะพยามเวลา 9.30 น. และ 14.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีเรือเร็วบริการใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคคนละ 350 บาท จากระนองเรือออกเวลา 10.00 และ 14.00 น. ขากลับจากเกาะพยาม เรือออกเวลา 9.00 และ13.00 น. หรือติดต่อกับรีสอร์ทบนเกาะพยาม ส่วนการคมนาคมบนเกาะมีเพียงเส้นทางสำหรับมอร์เตอร์ไซค์เท่านั้น
นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะพยามยังมีเกาะอีกหลายแห่ง ซึ่งเป็นแหล่งตกปลา เช่น เกาะสินไห เกาะช้าง นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อเช่าเหมาเรือจากปากน้ำระนอง ท่าเรือสะพานปลาได้เช่นเดียวกัน
อ้างอิง

สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว




อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 20 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ตไปอำเภอถลาง เมื่อถึงสี่แยกในเขตเมืองถลางซึ่งอยู่ห่างจากตัวภูเก็ต 18 กิโลเมตร แยกไปทางขวามืออีกประมาณ 2 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานสัตว์ป่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2512 มีเนื้อที่ 13,925 ไร่ เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ สามารถพบสัตว์ป่าหลายชนิด อาทิ หมูป่า ลิง หมี กระจง และมีพันธุ์ไม้หายากคือ “ปาล์มหลังขาว” ที่นี่เป็นแห่งแรกที่พบ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดังนี้น้ำตกโตนไทร อยู่ห่างจากตัวเมือง 22 กิโลเมตร ไปตามถนนเทพกษัตรีถึงสี่แยกอำเภอถลางแล้วเลี้ยวขวาไป 3 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณน้ำตกโตนไทร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก น้ำจะไหลแรงในช่วงฤดูฝน มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน มีเส้นทางเดินเท้าเพื่อศึกษาธรรมชาติ 3 เส้นทาง ขอคำแนะนำได้จากเจ้าหน้าที่สถานีฯ
น้ำตกบางแป อยู่ห่างจากน้ำตกโตนไทร 2 ชั่วโมง โดยเส้นทางเท้า แต่หากไปทางรถยนต์ไปจากตัวเมืองถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทรแล้วเลี้ยวขวาไปทางตำบลป่าคลอก 9 กิโลเมตร หรือนั่งรถสองแถวไม้ สายภูเก็ต-บางโรงมาลงที่ปากทาง น้ำตกบางแป เป็นน้ำตกขนาดเล็ก รอบๆ เป็นสวนรุกขชาติร่มรื่น มีเส้นทางเดินศึกษาน้ำตกบางแป-น้ำตกโตนไทร ระยะทาง 4 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางมีป้ายสื่อความหมายให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง อนุญาตให้กางเต็นท์พักแรมได้ แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง นอกจากนั้นบริเวณน้ำตกบางแปยังมี “สถานีอนุบาลชะนี” ซึ่งเป็นโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของชะนีที่ถูกจับมาเลี้ยงให้พร้อมที่จะกลับคืนสู่ป่าต่อไป สอบถามรายละเอียดโครงการได้ที่ โทร. 0 7631 8065 E-mail: gibbon@poboxes.com สำนักงานกรุงเทพ ฯ ติดต่อ A project of the Wild Animal Rescue Foundation of Thailand 29/2 ถนนสุขุมวิท 33 กรุงเทพฯ 10110 โทร. 0 2258 5560 โทรสาร 0 2261 0925
ผู้ที่ประสงค์จะเข้าพักแรมที่สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว หรือขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสถานีฯ 254 หมู่ 2 ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100 โทร. 0 7631 1998


อ้างอิง
http://thai.tourismthailand.org/attraction/maehongson-83-382-1.html



http://www.tlcthai.com

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต


ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมพันวา จัดแสดงสัตว์น้ำที่สวยงาม แปลกตา หาชมได้ยาก โดยมีรูปแบบการจัดตู้เลี้ยงให้ใกล้เคียงกับแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์น้ำชนิดนั้น ๆ มากที่สุด เช่น หาดทราย หาดหิน แนวปะการัง ป่าชายเลน และป่าโกงกาง ภายในตัวอาคารได้แยกส่วนจัดแสดงออกเป็น 2 ส่วนคือ พันธุ์ไม้น้ำ สัตว์น้ำจืด และสัตว์ทะเล รวมทั้งทรัพยากรอื่นๆจากชายฝั่งถึงทะเล - พันธุ์ไม้น้ำ สัตว์น้ำจืด มีตู้จัดแสดงสัตว์น้ำจืดมากกว่า 50 ชนิด เช่น ปลาไหลไฟฟ้า ปลาช่อนอเมซอน ปลากระเบนน้ำจืด- สัตว์ทะเล ทะเลอันดามันเป็นแหล่งที่มีสัตว์ทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ตได้คัดเลือกสัตว์ทะเลมาจัดแสดงทั้งในตู้ ตลอดจนการจัดแสดงในตู้อุโมงค์ขนาดใหญ่ ปริมาตร 200 ตัน แสดงปลากระเบนราหู ปลาฉลาม เป็นต้น นอกจากนั้นยังจัดแสดงปลาหมอทะเลขนาดใหญ่ในตู้ปริมาตร 120 ตัน ชมนิทรรศการทางทะเลที่สวยงามหลายรูปแบบ ทุกตู้แสดงมีป้ายบอกชื่อ ชนิดของสัตว์น้ำ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อความสะดวกในการชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีรถเข็นสำหรับคนพิการบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และทางลาดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการด้วย เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น. ค่าเข้าชมคนไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 7639 1126 และสามารถชมการดำน้ำให้อาหารแก่สัตว์น้ำ ในตู้อุโมงค์ทุกวันเสาร์และอาทิตย์เวลา 11.00-11.30 น. การเดินทาง สามารถนั่งรถสองแถวจากตลาด บริเวณถนนระนอง จะมีรถออกตั้งแต่เวลา 09.00 น. ทุก ๆ ชั่วโมง จนถึง 15.00 น.
อ้างอิง

อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง)


ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 อยู่ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนเทพกษัตรี ผ่านสี่แยกอำเภอถลาง ตรงไปเมื่อถึงหลักกิโลเมตร 21-22 จะมีทางแยกด้านซ้ายเข้าไป 10 กิโลเมตร หรือจะไปทางแยกเข้าสนามบินเลี้ยวซ้าย 2 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 56,250 ไร่ เป็นหาดทรายที่มีความยาวต่อเนื่องกันถึง 13 กิโลเมตร โดยเริ่มจากหาดในทอน ใช้เส้นทางไปอุทยานฯ เลี้ยวซ้ายที่หลักกิโลเมตร 21-22 เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้านสาคู เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 3 กิโลเมตร หาดในทอน เป็นเวิ้งอ่าวที่งามแปลกตาทอดโค้งจากตัวเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลมได้อย่างดี และเป็นหาดที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเล่นน้ำหาดในยาง เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ เป็นหาดที่มีสวนสนร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนและเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังขนาดใหญ่เป็นที่อาศัยของสัตว์ทะเลนานาชนิด โดยเฉพาะเต่าทะเลซึ่งจะขึ้นมาวางไข่บนหาด ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ แต่ปัจจุบันเต่าทะเลมีจำนวนลดลงมากจนแทบจะไม่เห็นเต่าขึ้นมาวางไข่อีกเลยหาดไม้ขาว หรือหาดสนามบิน ไปตามเส้นทางถนนเทพกษัตรีผ่านทางแยกเข้าสนามบินตรงไปทางสะพานสารสินจะมีทางแยกด้านซ้ายมือ มีป้ายบอกทางเข้าหาดไม้ขาว เลี้ยวซ้ายไป 3.5 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นหาดที่มีจั๊กจั่นทะเลและเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เช่นเดียวกับหาดในยางหาดทรายแก้ว เป็นหาดทรายขาวทอดยาวขนานกับทิวต้นสนอยู่ถัดจากหาดไม้ขาวไปจนถึงสะพานสารสิน นับเป็นหาดที่อยู่เหนือสุดของเกาะภูเก็ต ค่าเข้าอุทยานฯ คนไทย ผุ้ใหญ่ คนละ 40 บาท เด็ก คนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผุ้ใหญ่ คนละ 200 บาท เด็ก คนละ 100 บาท อุทยานแห่งชาติสิรินาถ มีที่พักบริการนักท่องเที่ยว บังกะโล จำนวน 10 หลัง ราคาหลังละ 600-1,200 บาท และเต็นท์ ราคา 100-300 บาท หากนำเต็นท์มาเองเสียค่าธรรมเนียมเช่าพื้นที่คนละ 20 บาท สอบถามข้อมูลได้ที่ อุทยานแห่งชาติสิรินาถ หาดในยาง ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83140 โทร. 0 7632 8226 กรมอุทยานแห่งชาติ กรุงเทพฯ โทร. 0 2561 2919, 0 2579 7223, 0 2579 5734 หรือ www.dnp.go.th
อ้างอิง

พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว Phuket Thaihua Museum


ตั้งอยู่ที่ถนนกระบี่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต สถานที่แห่งนี้เดิมเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งชาวจีนฮกเกี้ยนบรรพบุรุษชาวจีนรุ่นแรกที่อพยพมาอยู่ที่ภูเก็ตได้ร่วมกันตั้งขึ้น ตัวอาคารแบบชิโนโปรตุกีสที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 บนหน้าจั่วอาคารเรียน มีรูปปูนปั้นเป็นรูปค้างคาวแดง ซึ่งสื่อความหมายถึง การรู้หนังสือคือโชคอันยิ่งใหญ่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงการให้การศึกษาแก่ลูกหลานชาวภูเก็ต ไม่เฉพาะการเล่าเรียน เพื่อให้อ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่หัวใจสำคัญของการศึกษาอยู่ที่การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และปรัชญาในการดำเนินชีวิต ลักษณะของอาคารหลังนี้ เป็นอาคาร 2 ชั้น เมื่อเข้าไปด้านในเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ มีห้องทั้งปีกซ้ายและขวา มีบันไดเดินขึ้นชั้นบน ซึ่งมีระเบียงล้อมรอบพื้นที่ว่างที่สามารถมองลงมาชั้นล่าง ด้านบนยังใช้เป็นห้องเรียนภาษาจีน ส่วนด้านล่างมักใช้จัดนิทรรศการต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะด้านศิลปะและวัฒนธรรม ลานกว้างด้านหน้าอาคารจัดแสดงภาพถ่ายเก่า ๆ ของโรงเรียน ส่วนภายในอาคารจัดแสดงสิ่งของ หนังสือ ภาพถ่ายและเรื่องราวต่าง ๆ ของโรงเรียนภูเก็ตไทยหัวแล้ว ยังจัดเป็นห้องนิทรรศการภาพแสดงความเป็นมาของชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ภูเก็ต บุคคลสำคัญของภูเก็ต ชุดแต่งกายประจำถิ่น อาหารพื้นเมือง เทศกาลงานประเพณี อาคารแบบชิโนโปรตุกีส และภาพถ่ายเก่าแก่ที่แสดงความเป็นมาด้านเศรษฐกิจของภูเก็ตตั้งแต่ยุคเหมืองแร่ การทำสวนยางพารา และการท่องเที่ยว
อิงอ้าง

ประตูเมืองภูเก็ต


จัดสร้างโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2550 เพื่อให้ห้องรับแขกแห่งแรก ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาโดยทางรถยนต์ ผ่านสะพาน ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร เพื่อข้ามจากแผ่นดินใหญ่มายังเกาะภูเก็ต ประตูเมืองภูเก็ตก่อสร้างบนพื้นที่ 25 ไร่ บ้านที่ฉัตรไชย ตำบลไม้ขาวอำเภอถลาง มีจุดเด่น คือ เสาประติมากรรมเรียงรายเป็นแนวยาว 29 ต้นที่มีการก่อสร้างขึ้น ตามแนวคิดว่า เลข 2 คือ ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร สองวีรสตรีของชาวภูเก็ต ส่วนเลข 9 มีนัยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ของภูเก็ต ผ่านข้อมูลที่จารึกอยู่บนเสาศิลา 29 ต้น ซึ่งได้เรียงร้อยเรื่องราวต่างๆ ของภูเก็ต ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองจากการทำเหมืองแร่ดีบุก การทำเกษตรกรรม จนถึงยุคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ ประติมากรรมเต่าทะเลกับไข่เต่าขนาดใหญ่ด้านหน้าอาคาร โดยฝีมือของศิลปินเอก ศาสตราจารย์ธนะ เลาหกัยกุล Thana Laohanayakul ซึ่งเป็นงานศิลปที่เล่าเรื่องหาดไม้ขาว สถานที่วางไข่ของเต่ามะเฟืองซึ่งอยู่ในจังหวัดภูเก็ต นอกจากประตูเมืองภูเก็ตจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่แล้ว ยังมีศูนย์ให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว มีห้องประชุมเล็ก และ mini theatre สำหรับแวะเยี่ยมชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับภูเก็ต สารคดีท่องเที่ยว มีมุมสบาย โกปี้คอนเนอร์ Kopi Corner เพื่อดื่มชมกาแฟ ขนมพื้นบ้านอร่อย ๆ และซื้อของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพจากทั่วเมืองไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ดีไซน์ของภูเก็ต ผ้าบาติก ไข่มุก อาหารแปรรูป และชิ้นงานศิลปะต่าง ๆ มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO ของกลุ่มแม่บ้าน ห้องประชุมสัมมนาขนาด 60 ที่นั่ง ห้องสมุดพร้อมการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต เพื่อการท่องเที่ยว เปิดบริการทุกวันเวลา 9.00-17.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต โทร. 0 7621 1877, 0 7621 1866
อ้างอิง

อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์



มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในเขตอำเภอขุนยวม และอำเภอเมือง มีเนื้อที่ 247,875 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2524 มีจุดเด่นที่น่าสนใจ ดังนี้ โครงการอนุรักษ์สัตว์ป่า - รักษาพันธุ์ไม้ อยู่ติดที่ทำการอุทยานฯ เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประกอบด้วยกรงเพาะเลี้ยงและอนุบาลสัตว์ป่า การรวบรวมพรรณไม้ประจำถิ่นเพื่อการศึกษาน้ำตกแม่สุรินทร์ อยู่ในเขตบ้านแม่สุรินทร์ตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม น้ำตกแม่สุรินทร์เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่สวยงามมาก ไหลจากหน้าผาสู่หุบเขาด้านล่างสูงประมาณ 80 เมตร ยอดดอยปุย อยู่ในเขตบ้านห้วยฮี้ ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมืองฯ เป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1725 เมตร มีลักษณะเป็นที่ราบปกคลุมด้วยทุ่งหญ้า ป่าสนเขา และป่าดิบเขาคล้ายกับบนยอดเขาภูกระดิง ในช่วงต้นหนาวมีดอกไม้ ตามทุ่งหญ้าออกดอกสวยงาม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด หนองเขียว มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบบนสันเขาและมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ตามธรรมชาติ มีหญ้าปกคลุมเต็มพื้นที่ ค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท เด็ก คนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ คนละ 200 บาท เด็ก คนละ 100 บาท อุทยานฯ มีบริการบ้านพักและอนุญาตให้นำเต็นไปตั้งค่ายพักแรมได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร 0 2562 0706 หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ตู้ปณ. 16 ตำบลปางหมู อำเภอ เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทร 0 5361 2996 08 1724 7275 www.dnp.go.th การเดินทาาง การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 108 ถึงอำเภอขุนยวม เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1263 ประมาณ 12 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าไปน้ำตกแม่สุรินทร์ระยะทาง 25 กิโลเมตร เป็นถนนลูกรังจำลองใช้ได้เฉพาะฤดูแล้งเท่านั้น



อ้างอิง

http://thai.tourismthailand.org/attraction/maehongson-58-392-1.html


http://www.tlcthai.com

ภูโคลน


เป็นแหล่งค้นพบโคลนจากน้ำพุร้อน นับเป็นหนึ่งในสามแหล่งของโลกที่มีการค้นพบโคลนที่นำมาใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพความงามให้กับผิวพรรณของเรา นอกเหนือจากโคลนใต้ทะเล dead sea และโคลนภูเขาไฟ เนื่องจากมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น แคลเซียม ที่ช่วยปรับความสมดุลย์ของผิว โบรไมด์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค แมกนีเซียมช่วยเสริมสร้างและช่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เป็นต้น ภูโคลนเป็นแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติที่มาจากสายน้ำแร่ใต้ดินเป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์ที่ขึ้นมากับน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดและไม่มีกลิ่นกำมะถัน ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนของโลหิตของมนุษย์ และที่นี่มีบริการพอกโคลนซึ่งใช้เวลาไม่นาน หรือใช้บริการอาบน้ำแร่ นักท่องเที่ยวสามารถแวะมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภูโคลนให้บริการในรูปแบบของแนเชอรัลสปา และมีสระน้ำแร่ธรรมชาติ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0 5328 2579 หรือhttp://www.pooklon.com

การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 1095 สายแม่ฮ่องสอน-ปาย ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเข้าหมู่บ้านกุงไม้สัก-บ้านห้วยนาขานอีก 4 กิโลเมตร (เส้นทางไปน้ำตกผาเสื่อ พระตำหนักปางตอง) ภูโคลนอยู่ทางขวามือ




อ้างอิง

แม่น้ำปาย สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ


แม่น้ำปาย เป็นแม่น้ำที่ใหญ่และยาวที่สุดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เกิดจากทิวเขาถนนธงชัยและทิวเขาแดนลาวในเขตอำเภอปายไหลผ่าน 3 อำเภอในจังหวัดเดียว คือ อ.ปาย-อ.ปางมะผ้า-อ.เมือง ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน แต่ละช่วงมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แล้วไหลลงมาทางทิศใต้ผ่านอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ไปบรรจบกับแม่น้ำสาละวิน (แม่น้ำคง) ในเขตรัฐคะยา สหภาพพม่า มีความยาวประมาณ 180 กิโลเมตร กว้างประมาณ 30 เมตร และลึกประมาณ 7 เมตร ท้องน้ำมีลักษณะเป็นกรวดทราย และในฤดูแล้งน้ำลึกประมาณ 1 เมตร ตลอดลำน้ำปายนี้สามารถล่องแพได้









การล่องแก่งแม่น้ำปาย รวมระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ระดับความยากของแก่งมีตั้งแต่ระดับ 1-4 ช่วงฤดูฝนอาจถึงระดับ 5 ซึ่งมีความยากมากและระดับน้ำรุนแรง นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงามและความสนุกสนานตลอดสายน้ำ เช่น เล่นน้ำตกซู่ซ่า ผจญภัยในถ้ำ แช่ตัวใบบ่อโคลน กระโดดหน้าผาสูง ช่วงเวลาที่หมาะสมกับการล่องแก่ง คือ เดือน มิถุนายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี มีโปรแกรม ทั้ง 2 วัน 1 คืน และ 1 วัน ราคาประมาณ 1,500 บาท ต่อคน การล่องแก่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น


ติดต่อล่องแก่ง
ปายแอดเวนเจอร์ โทร. 0 5369 9385
ไทยแอดเวนเจอร์ โทร. 0 5369 9111
แม่ฮ่องสอนแอดเวนเจอร์ โทร. 0 5361 4286
ปาย อิน เดอะ สกาย โทร. 0 5369 8145, 0 5369 9090
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทร. 0 5361 2982-3 โทรสาร 0 5361 2984 E-mail: http://tatmhs@tat.or.th







อ้างอิง
http://thai.tourismthailand.org/attraction/maehongson-58-1213-1.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

งานประเพณีปอยส่างลอง หรืองานบวชลูกแก้ว



งานประเพณีปอยส่างลอง หรืองานบวชลูกแก้ว ตามแบบฉบับของชาวไทยใหญ่ ซึ่งถือว่าการบรรพชาสามเณรได้กุศลแรงกว่าบวชพระ จึงมักจัดกันอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างเดือนมีนาคม- พฤษภาคม เด็กที่จะบรรพชาเรียกว่า “ส่างลอง” เมื่อกำหนดจัดงานก็จะโกนผมแต่ไม่โกนคิ้ว(พระภิกษุพม่าไม่โกนคิ้ว) แล้วแต่งกายอย่างสวยงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า เช่น สวมสายสร้อย กำไล แหวน และใช้ผ้าโพกศีรษะแบบพม่า สวมถุงเท้ายาว นุ่งโสร่ง ทาแป้งขาว เขียนคิ้วทาปาก แล้วพาไปขี่ม้า ถ้าไม่มีม้าก็จะขี่คอคน ซึ่งเรียกว่า “พี่เลี้ยง” หรือ “ตะแปส่างลอง” แล้วแห่ไปตามถนนสายต่างๆ มีกลดทองหรือ “ทึคำ” แบบพม่ากั้นกันแดด ปัจจุบันประเพณีได้มีการกำหนดรูปแบบให้เป็นการบรรพชาสามเณรแบบสามัคคี คือ จัดให้มีการบรรพชาส่างลองเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกันทุกปีในช่วงต้นๆ เดือนเมษายนของทุกปีทำให้ประเพณีปอยส่างลองจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว เจ้าอาวาสวัดเปียงหลวง และประธานจัดงานฝ่ายสงฆ์เปิดเผยว่า การจัดงานในปีนี้จะเน้นตามแบบประเพณีดั้งเดิมของไทยใหญ่ให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเที่ยวยังชายแดนไทย-พม่า ด้านบ้านเปียงหลวงจะได้มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่และประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยใหญ่อย่างแท้จริง สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงาน พระมหาไกรสร เปิดเผยว่า เพื่ออนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทใหญ่ เนื่องจากในหมู่บ้านแห่งนี้ราษฎรส่วนใหญ่เป็นคนไทใหญ่ และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมมีโอกาสศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา รวมทั้งเพื่อเป็นการร่วมเทิดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และมีพระชนมายุครบ 80 พรรษาด้วย การจัดงานปอยส่างลองในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยตลอดงานรวม 5 วัน จะมีการแสดงมหรสพหลายอย่าง ซึ่งในปีนี้ทางคณะผู้จัดได้เชิญคณะจ๊าตไต (ลิเกไทใหญ่) จากเมืองสี่ป้อ จ๊อกเม ภาคเหนือรัฐฉานมาร่วมแสดงด้วย ส่วนพิธีเปิดงานจะมีขึ้นในวันที่ 22 เมษายน 2550 โดยจะมีเจ้าธวัชวงค์ ณ เชียงใหม่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ไปเป็นประธานเปิดงาน ส่วนกิจกรรมสำคัญคือ ในช่วงเย็นของวันที่ 20 เม.ย. จะมีพิธีโกนผมเด็กที่จะเข้ารับเป็นส่างลอง เวลา 05.00 น. วันที่ 21 เม.ย. จะมีพิธีอาบน้ำเงินน้ำทอง จากนั้นแต่งกายให้กับส่างลองด้วยชุดเจ้าชาย พร้อมรับศีลรับพร และรับประทานอาหาร 12 อย่าง โดยผู้เป็นบิดา มารดาจะเป็นคนป้อนในสามคำแรก จากนั้นจะแห่รอบพระวิหารรวม 7 รอบ และระหว่างวันที่ 22 – 24 เม.ย. จะเป็นวันรับแขก หรือวันข่ามแขก ที่เดินทางมาร่วมงานจากที่ต่างๆ พร้อมกันนั้นจะมีการแห่ขบวนส่างลองไปคารวะตามวัดต่างๆ ในอำเภอเวียงแหง ส่วนไฮไลท์ของงานในช่วงบ่ายของวันที่ 24 เม.ย. เวลาประมาณ 15.00 น.จะมีการแห่ริ้วขบวนใหญ่สวยงามไปตามถนนสายหลักรอบหมู่บ้านเปียงหลวง และในช่วงเย็นเวลา 17.00 น. จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา ซึ่งในพิธีนี้คาดว่าจะมีข้าราชการ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดถึงเจ้าภาพส่างลองและประชาชนจากที่ต่างๆ ไปร่วมไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคน ในช่วงเช้าของวันที่ 25 เม.ย. จะมีพิธีเรียกขวัญส่างลองและเลี้ยงอาหาร 12 อย่างอีกครั้ง เสร็จแล้วนำส่างลองแห่รอบพระวิหาร จากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ก็จะนำจางลองและส่างลองเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุสามเณร ทั้งนี้ หมู่บ้านเปียงหลวง อยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่า ด้านวัดฟ้าเวียงอินทร์ (บ้านหลักแต่ง) ประมาณ 3 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่161 กม. ก่อตั้งราวปีพ.ศ. 2493 โดยกลุ่มพ่อค้าวัวต่างชาวไทใหญ่จากรัฐฉานที่อพยพหนีการรุกรานของกองทัพจีนก๊กมินตั๋ง ในอดีตหมู่บ้านเปียงหลวงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกำลังกู้ชาติไทใหญ่ SURA นำโดยนายพลกอนเจิง ปัจจุบันหมู่บ้านเปียงหลวงมีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 7 ชนเผ่าประกอบด้วย ไทใหญ่ จีนฮ่อ คนเมือง ลาหู่ ลีซอ ชาวปะหล่อง และปะโอ โดยแต่ละปีจะมีการจัดงานประเพณีสำคัญของไทใหญ่หลายอย่าง อาทิ งานประเพณีปอยส่างลอง งานปีใหม่ไต งานเข้าพรรษา งานออกพรรษา ปอยจ่าก๊ะ ปอยสลากภัต ปอยหลู่ส่างกาน (กฐิน) นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปีจะมีการแข่งขันเล่นสะบ้า ยิงหนังสติ๊ก และยิงธนู ตามแบบประเพณีพื้นบ้านของชาวไทใหญ่ที่นิยมเล่นกันในช่วงสงกรานต์ ซึ่งสร้างความสนุกสนานในชุมชนเป็นอันมาก สำหรับผู้สนใจจะเดินทางไปร่วมงานสามารถเดินทางไปได้จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง พอถึงอำเภอเชียงดาวเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเมืองงาย หรือเข้าบ้านเมืองงาย เลยบ้านเมืองงายไปประมาณ 3 กิโลเมตร จะถึง 3 แยก แม่จา ให้เลี้ยวซ้ายมาตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก็จะถึงสถานที่จัดงาน ซึ่งที่หมู่บ้านเปียงหลวง และในอำเภอเวียงแหงมีสถานที่พักหลายแห่งไว้คอยบริการ

อ้างอิง

http://www.bankoku.org/th/place/detail.asp?ID_Place=686&ID_Part=11&ID_Province=30&ID_Cat=


www.tlcthai.com

อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง อำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน


อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 179.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 112,187.5 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง มีฝนตกชุกในเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 34 องศาเซลเซียส สถานที่ที่มีผู้นิยมมาท่องเที่ยว ได้แก่ จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) ตำบลกึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง อยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก มองเห็นดอยเชียงดาว คอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้ และในช่วงปลายฤดูหนาวดอกไม้กำลังบานสวยงามมาก หมอกที่เกิดที่นี่คือ หมอกที่เกิดขึ้นในหุบเขา (Radiation Fog) เนื่องจากเวลากลางคืนในหุบเขาอุณหภูมิจะลดต่ำลง ทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นละอองน้ำ และปรากฏเป็นทะเลหมอกในเวลาเช้าหรือหลังฝนตก ใกล้ ๆ กับที่ทำการจะมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติเอื้องเงิน มีระยะทาง 1,470 เมตร ความลาดชันปานกลาง ใช้เวลาในการเดินประมาณ 1 ชั่วโมง การเดินทาง ไปยังอุทยานฯ จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตร ถึงตลาดแม่มาลัย อ.แม่แตง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 สายเชียงใหม่-ปาย อีกประมาณ 65 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจอุทยานฯ ซึ่งอยู่ด้านขวามือเข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ และหากเดินทางต่อไปอีก 1 กิโลเมตร ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือเดินทางโดยรถประจำทางจากสถานีขนส่งเชียงใหม่ สายเชียงใหม่-ปาย อัตราค่าโดยสาร 40 บาท/คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ห้วยน้ำรู หรือ ดอยสามหมื่น ตำบลเมืองคอง อำเภอเชียงดาว มีหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลีซอ ทัศนียภาพสวยงาม และชมการปลูกกาแฟและไม้ผลเมืองหนาว การเดินทาง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 130 กิโลเมตร ใช้ถนนสายเชียงใหม่-ห้วยน้ำดัง และเลยเข้าไปทางห้วยน้ำดังอีก 20 กิโลเมตร ทางยังไม่ลาดยางใช้ได้เฉพาะฤดูแล้งเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง มีบ้านพักแต่ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน ที่ส่วนอนุรักษ์ต้นน้ำ บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 0 2579 7586-7 นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกห้วยน้ำดัง โป่งน้ำร้อนท่าปาย น้ำตกแม่เย็น ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก อุทยานฯมีบ้านพักบริการ รวมทั้งสถานที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รายละเอียดติดต่อ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง หมู่ที่ 5 ตำบลกี๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 50300 โทร. 0 5347 1669 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติฯ โทร. 0 2562 0760 www.dnp.go.th



อ้างอิง

http://www.bankoku.org/th/place/detail.asp?ID_Place=583&ID_Part=11&ID_Province=30&ID_Cat=

www.tlcthai.com

อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ อำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน



น้ำตกแม่สุรินทร์ อยู่ในเขตบ้านแม่สุรินทร์ ตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 108 ถึงอำเภอขุนยวม และจากขุนยวมเข้าไปน้ำตกแม่สุรินทร์ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งใช้เส้นทางเดียวกับทุ่งดอกบัวตอง โดยจะผ่านทุ่งดอกบัวตอง น้ำตกแม่สุรินทร์เป็นน้ำตกสวยงามมาก เป็นน้ำตกชั้นเดียว ไหลจากหน้าผาสู่หุบเขาด้านล่าง สูงประมาณ 100 เมตร ด้วยกรมป่าไม้ ได้รับหนังสือจังหวัดแม่ฮ่องสอน มส 09/71 ลงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2523 แจ้งว่าจังหวัดได้รับหนังสืออำเภอขุนยวม ที่ มส 0953/3338 ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เรื่องขอจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ เพื่ออนุรักษ์บริเวณน้ำตกแม่สุรินทร์ ซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงาม ไว้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจตามที่ นายสกุล อนันตกุลกำเนิด เจ้าพนักงานป่าไม้ 3 เสนอโครงการจัดตั้งวนอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ประกอบกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ( ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ ) ได้บินตรวจป่าพบว่าบริเวณป่าของอำเภอขุนยวม และอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีลักษณะเด่นตามธรรมชาติ และมีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง จึงให้กองอุทยานแห่งชาติเดิม ดำเนินการสำรวจ กองอุทยานแห่งชาติได้มีหนังสือ ที่ กส 0708/1140 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 เสนอกรมป่าไม้ให้เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้เขตแม่สะเรียงทำการสำรวจ ซึ่งสำนักงานป่าไม้เขตแม่สะเรียงได้มีคำสั่งที่ 180/2523 ลงวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2523 ให้ นายอุดม ธัมทะมาลา เจ้าพนักงานป่าไม้ 4 ทำการสำรวจ ปรากฎว่าป่าน้ำตกแม่สุรินทร์เป็นภูเขาสลับซับซ้อน สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำลำธารของลำน้ำหลายสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณดอยปุยมีลักษณะเป็นยอดเขาสูง มีรูปร่างคล้ายฝาชี ข้างบนยอดแบนเป็นที่ราบ อากาศหนาวจัด ทั้งมีน้ำตกสวยงาม 2 แห่ง คือ น้ำตกแม่สุรินทร์และน้ำตกผาบ่อง เหมาะสมจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามรายงานผลการสำรวจหนังสือสำนักงานป่าไม้เขตแม่สะเรียง ที่ กส 0709 (มร)/2360 ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2523
กองอุทยานแห่งชาติกรมป่าไม้เดิม ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ มีมติในการประชุมครั้งที่ 3/2523 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2523 เห็นชอบให้กำหนดบริเวณที่ดินฝั่งซ้ายและป่าแม่สุรินทร์ ในท้องที่ตำบลปางหมู ตำบลผาบ่อง ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง และตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 98 ตอนที่ 180 ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2524 เป็น อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 37 ของประเทศไทย
อ้างอิง

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อำเภอหางดง จ.เชียงใหม่



เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ดำเนินการภายใต้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน )ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 10 กิโลเมตร ส่วนแสดงสัตว์ในโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ประกอบด้วย -Jaguar Trail นักท่องเที่ยวสามารถเดินพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยรอบทะเลสาบ (Swan Lake) ระยะทาง 1.2 กม. โดยมีจุดเริ่มต้นจากอาคารลานนาวิลเลจด้านร้านอาหาร และสิ้นสุดที่ทางออกใกล้เรือนวารีกุญชร ตลอดระยะทางจะพบกับสัตว์ป่ามากกว่า 400 ตัว หรือ 50 ชนิด อาทิเช่น เสือขาว เสือจากัวร์ หนูยักษ์คาปิลาลา เสือลายเมฆ สมเสร็จบราซิล ม้าแคระ ฮิปโปแคระ ลิงอุรังอุตัง เสือดำ ลิงกระรอก หมีโคอาล่า แมวดาว นกกระเรียนหงอนพู่ นากใหญ่ขนเรียบ ลามา นกคลาสโซโนวี่ เสือปลา ฯลฯ -Predator Prowl ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กินเนื้อ ประมาณ 200 ตัว นักท่องเที่ยวจะสัมผัสความตื้นเต้นกับสัตว์นักล่าที่มึความดุร้ายโดยรถ Tram ขนาด 60 ที่นั่ง ตามระยะทาง 2.13 กม. อาทิเช่น เสือโคร่งขาว เสือโคร่งอินโดจีน เสือโคร่งเบงกอล สิงโต หมาป่าแอฟริกา หมีควาย หมีหมา กวางเจมส์บ็อค กวางไนยาร่า กวางขาวสปริงบ็อค กวางดำสปริงบ็อค หมาจิ้งจอก อูฐสองโหนก ฯลฯ -Savanna Safari ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กีบและสัตว์กินพืชที่มีถิ่นอาศัยในแถบทุ่งหญ้าซาวันนา ประมาณ 320 ตัว นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสสัตว์อย่างใกล้ชิด โดยรถ Tram ขนาด 60 ที่นั่ง ตามระยะทาง 2.43 กม. อาทิเช่น เลียงผา กวางผา กระทิง แรดขาว ไฮยีน่า เสือชีต้า วีลด์เดอบีส ยีราฟ จามรี ละอง ละมั่ง กวางกาเซลล์ หมูป่า กวางบาราสิงกา ฯลฯ โดยระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะพบกับสถาปัตยกรรมจำลองเวียงกุมกาม ซึ่งสะท้อนถึงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และในพื้นที่บริการจะเป็นหมู่บ้านล้านนา ซึ่งเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบแอฟริกาและไทยลานนา ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์อาหาร ศูนย์รวมสินค้า OTOP ของที่ระลึก และเป็นถานีรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังส่วนแสดงสัตว์ และด้านข้างอาคารยังมีลานน้ำพุดนตรี (Fun Plaza) สำหรับเด็กๆ ได้เล่นน้ำขณะรอขึ้นรถ
หมายเหตุ - เข้าฟรี : สำหรับเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 100 ซม. - รถลากพ่วง : ให้บริการระหว่างเวลา 19.00-22.30 น. การเดินทาง จากเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 121 ไปอำเภอหางดง ประมาณ 10 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ที่อยู่ หมู่ 12 ต.หนองควาย อำเภอ อำเภอหางดง จังหวัด เชียงใหม่ โทรศัพท์ (053) 999079 โทรสาร (053) 999099, (053) 999079 Website http://www.chiangmainightsafari.com Email address chiangmainightsafari@yahoo.com
อ้างอิง

ดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จ.เชียงใหม่

ลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะทำให้อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อากาศเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อม เช่น หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว สถานที่น่าสนใจบนดอยมีหลายแห่ง ได้แก่ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง เรื่องกำเนิดของสถานีฯ แห่งนี้เป็นเกร็ดประวัติเล่ากันต่อมาว่าครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดดอยแห่งนี้และทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้านคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระดำรัสสั่งให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรเห็นทุ่งดอกฝิ่น และหมู่บ้านตรงนั้นก็คือหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ พระองค์มีพระราชดำรัสที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร สถานีฯ จึงเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๒ มีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน โดยมุ่งที่จะหาผลิตผลที่มีคุณค่าพอที่จะทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา และทำการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมแก่ชาวเขาในบริเวณใกล้เคียง และยังเป็นแหล่งเที่ยวชมวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านชาวไทยภูเขาต่างๆ ได้แก่ เผ่ามูเซอดำ ปะหล่อง และจีนฮ่อ รวมทั้งชมความงามตามธรรมชาติของผืนป่า กิจกรรมดูนกซึ่งมีนกทังนกประจำถิ่นและนกหายากต่างถิ่น พร้อมผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย งานส่งเสริมเกษตรกรจำหน่ายใต้ตราสินค้า "ดอยคำ" และที่พักทั้งในรูปแบบรีสอร์ท บ้านพักแบบกระท่อมและลานกางเต็นท์พร้อมอาหารและเครื่องดื่มบริการ สวนบอนไซ อยู่ในบริเวณสถานีฯ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้เขตอบอุ่นและเขตหนาวทั้งในและต่างประเทศ ปลูก ดัด แต่ง โดยใช้เทคนิคบอนไซ สวยงามน่าชม และในบริเวณเดียวกันยังมีสวนสมุนไพร ฤดูท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม หมู่บ้านคุ้ม ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีฯ เป็นชุมชนเล็ก ๆประกอบด้วยผู้อยู่อาศัยหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน อาทิชาวไทยใหญ่ ชาวพม่าและชาวจีนฮ่อ ซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้และเปิดร้านค้าบริการแก่นักท่องเที่ยว จุดชมวิวกิ่วลม อยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนถึงทางแยกซึ่งจะไปหมู่บ้านปะหล่องนอแลทางหนึ่ง และบ้านมูเซอขอบด้งทางหนึ่ง สามารถชมทะเลหมอกและวิวพระอาทิตย์ทั้งขึ้นและตก มองเห็นทิวเขารอบด้านและหากฟ้าเปิดจะมองเห็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขางด้วย หมู่บ้านนอแล ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า คนที่นี่เป็นชาวเขาเผ่าปะหล่องเชื้อสายพม่า แต่เดิมคนกลุ่มนี้อยู่ในพม่าและพึ่งอพยพมา มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง นับถือศาสนาพุทธ ทุกวันพระผู้คนที่นี่หยุดอยู่บ้านถือศีล จากหมู่บ้านนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามของธรรมชาติบริเวณพรมแดนไทย-พม่า หมู่บ้านขอบด้ง เป็นที่ที่ชาวเขาเผ่ามูเซอดำและเผ่ามูเซอแดงอาศัยอยู่ร่วมกัน คนที่นี่นับถือผี มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวงในด้านการเกษตรและด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน (เช่น อาบูแค เป็นกำไลถักด้วยหญ้าไข่เหามีสีสันและลวดลายในแบบของมูเซอ) บริเวณหน้าหมู่บ้านจะมีการจำลองบ้านและวิถีชีวิตของชาวมูเซอ โดยชาวบ้าน ครู และนักเรียนโรงเรียนบ้านขอบด้งช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มีโอกาสเรียนรู้และศึกษาวัฒนธรรมของหมู่บ้านโดยที่ไม่เข้าไปรบกวนความเป็นส่วนตัวของเขามากเกินไป และยังมีโครงการมัคคุเทศก์น้อยที่อบรมเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านขอบด้งเพื่อช่วยอธิบายวิถีชีวิตของพวกเขาให้ผู้มาเยือน ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกและสร้างความรักในท้องถิ่นให้เด็ก ๆ ด้วย หมู่บ้านหลวง ชาวหมู่บ้านหลวงเป็นชาวจีนยูนานที่อพยพมาจากประเทศจีนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ และประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก อาทิ ปลูกผักผลไม้ เช่น พลัม ลูกท้อ และสาลี่ กิจกรรมท่องเที่ยวบนดอยอ่างขาง มีหลายอย่างที่สามารถทำได้เช่น เดินเท้าศึกษาธรรมชาติ ขี่ล่อล่องไพร เป็นต้น


อ้างอิง
http://www.bankoku.org/th/place/detail.asp?ID_Place=560&ID_Part=11&ID_Province=29&ID_Cat=328





www.tlcthai.com